Japan has become the most popular destination for the westerners recently and nonetheless for my Italian husband. Since I have lived in Japan for five years, I think it’s time to take him to see my second home, the country I most admire for the culture, the attitude of its people and the wonderful food. While I lived in the capital Tokyo, I believe the best starting point to understand this country is Kyoto.
The former Imperial Capital of Japan is a must see for every visitor to this amazing country, and anyone who is interested in its history and traditions. Nowhere like in this city the ancient and the modern sides of Japan are living next to each other, the need of modernity and the pride of a unique and amazingly well preserved history are both part of Japan, every person that comes here knows that: Kyoto is where they come to be part of it.
ปีที่แล้วเกิดปรากฎการณ์สุดเหลือเชื่อ เมื่อทั้งเมืองเกียวโตและโตเกียวได้รับการโหวตจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้เป็นเมืองน่าเที่ยวที่สุดในโลกอันดับหนึ่งและสอง นับเป็นครั้งแรกที่สองอันดับแรกตกเป็นของสองเมืองในประเทศเดียวกัน จึงไม่แปลกใจที่ชาวตะวันตกต่างหลงใหลคลั่งไคล้อยากไปเยือนประเทศญี่ปุ่นกันทั่วหน้า รวมถึงหนุ่มอิตาเลียนข้างกายดิฉันด้วยค่ะ
ย้อนไปเมื่อสมัย “ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น” (หรือ “กุ๊กกิ๊กวัยหวานซ้ำยังอาโนเนะ” น่าจะเหมาะกว่า) ดิฉันได้มีโอกาสไปเรียนภาษาและทำงานอยู่ที่เมืองหลวงโตเกียวเป็นเวลาห้าปี ครั้นกลับมาไทยแล้วก็ยังหาเลี้ยงชีพด้วยการทำธุรกิจกับชาวญี่ปุ่นเรื่อยมา ประเทศญี่ปุ่นจึงเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองที่ไปได้ไม่รู้เบื่อ แต่คราวนี้แอบรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษกว่าครั้งไหนๆ เพราะเพื่อนที่ไปด้วยครั้งมีชื่อว่า “สามี” ค่ะ
สำหรับครั้งแรกของแขกคนพิเศษ ดิฉันภูมิใจนำเสนอทริปไม่ง้อทัวร์เมือง Kyoto เมืองหลวงเก่าที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมอันเป็นเอกลักษณ์ ถึงแม้ส่วนอื่นๆของเมืองจะพัฒนาไปมาก ชาวเกียวโตยังรักษาดูแลย่านเมืองเก่าไว้ได้อย่างไม่มีที่ติ
I based myself in Gion, a characteristic neighborhood known to tourist for spotting Geishas, but I will come to that a bit later. One highlight of this location is that is was only walking distance to the most interesting part of the city, the southern part of Higashiyama District with all its temples and ancient houses.
Just across the traffic light we would enter the Yasaka Shrine 「八阪神社」, to me this was a gate to a different world, since past the towering columns we could walk endlessly through a maze of small roads and parks, enjoying what felt like an experience from another world. Despite being popular with tourists, the fact that many Asians enjoy wearing traditional dresses while walking around this part of the city, it helped making the atmosphere even more special and authentic.
เราพักอยู่ที่ย่าน Gion (กิ-อง) พูดถึงชื่อนี้เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยได้ยินมาบ้าง นอกจากความคลาสสิคสวยงามของบ้านเก่าริมคลอง กิองยังเป็นแหล่งรวมร้านอาหารชั้นสูงของญี่ปุ่นที่เรียกกันว่า Ryōtei (เรียวเท) ที่ซึ่งเหล่าสาวงามเกอิชาทำงานนั่นเอง ขอรวบยอดเล่าถึงย่านนี้แบบเอ๊กซ์คลูซีฟในตอนถัดไป เหตุผลที่เราเลือกพักที่นี่นอกจากความน่าสนใจที่ได้เกริ่นไปแล้วนั้น ความสะดวกสบายในการเดินทางคืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ เพราะจากที่พักเพียงไม่กี่นาที เราสามารถเดินไปที่ถนนสายแห่งความทรงจำครั้งเก่า จุดท่องเที่ยวหลักและวัดชื่อดังต่างๆในย่าน Higashiyama ได้อย่างง่ายดาย
เพียงเดินไปสุดถนน Shijō-dōri เราก็จะเห็นประตูไม้สีส้มความสูงเกือบสิบเมตรของศาลเจ้ายาซากะ Yasaka Shrine 「八阪神社」ตั้งเด่นอยู่ตรงหน้า สำหรับเราประตูนี้เปรียบเสมือนประตูทะลุมิติของโดราเอมอนที่พาเราย้อนข้ามเวลาไปในสมัยเอโดะ โคมไฟนับร้อยที่ห้อยเรียงราย รูปปั้นหินของเหล่าเทพเจ้า บรรยากาศรอบตัวและผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ในชุดกิโมโน ทำให้เราลืมไปชั่วขณะถึงความวุ่นวายหลังประตูบานนั้น ว่ากันว่าที่ตั้งของศาลเจ้ายาซากะแห่งนี้เป็นจุดรวมพลังงานดี ผู้คนจึงนิยมมาไหว้ขอพรทั้งในเรื่องการค้าและความรัก
The Kōdai-ji Temple 「高台時寺」 is a masterpiece of traditional art, with manicured zen gardens, temple hall and tea houses. My best suggestion is to visit at night as they host a beautiful light display all over temple. The lit up mirror pond and the bamboo garden walk were even more incredible and the 3D mapping show at the rock garden was very interesting. A great example of technology and traditions blending well together.
เดินต่อมาอีกหน่อยเราก็จะเจอกับ Kōdai-ji Temple 「高台時寺」หรือวัดโคไดจิ วัดนิกาย zen ที่มีสวนหินสวยเด่นเป็นเอกลักษณ์และบ้านชงชาดั้งเดิม เป็นวัดที่สงบและมีธรรมชาติสวยมากค่ะ ตอนกลางวันมีเวลาน้อยเดินดูยังไม่ทั่วเราจึงแวะกลับมากันอีกรอบตอนกลางคืน และก็ไม่ผิดหวังเลยค่ะ บรรยากาศตอนกลางคืนนั้นมีสีสันและผู้คนคึกคักกว่าเยอะ เพราะเขามีการประดับประดาไฟทั่ววัด และมีโชว์ 3D mapping แสงสีเสียงตระการตาที่บริเวณสวนหิน เล่าถึงเรื่องราวลี้ลับเกี่ยวกับวิญญาณและภูตผี ซึ่งเขามีการจัดให้เข้าชมเป็นรอบๆ ส่วนไฮไลท์ที่เราชอบเป็นพิเศษคือการเดินชมสวนไผ่และบ่อน้ำกระจกสะท้อนเงาใบไม้แดงที่งดงามเหนือจินตนาการ
Kiyomizu-dera 「清水寺」is the most famous temple for tourists in the area and also listed as Unesco World Heritage site. The temple perched on the hillside offers the best view of the city from its wooden terrace. The scenery of red leaves or so called “Momiji” by the Japanese is truly spectacular here.
ถนนคดเคี้ยวบนเนินเขาเต็มไปด้วยร้านค้าขายของฝาก ถ้วยชามเซรามิค และขนมท้องถิ่น แค่เดินเล่นเดินชิมก็หมดเวลาไปเป็นชั่วโมงๆแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เกาลัดเอย ชาเขียวเอย ขนม Nama yatsuhashi เอย อันหลังนี่ของโปรดค่ะ เป็นขนมชื่อดังของเมืองเกียวโตทำจากโมจิแป้งสดรูปสามเหลี่ยมแผ่นบางมีหลายไส้ให้เลือก อร่อยสุดก็ต้องไส้ถั่วแดงสูตรออริจินัล ระหว่างเดินบังเอิญเจอร้านคาเฟ่ไอเดียเก๋ร้านนึงที่ทุกเมนูอาหารตกแต่งทำเป็นรูป Hello Kitty และใครที่เป็นสายเปย์สามารถเข้าไปนั่งดื่มชากับตัวมาสคอตน้องเหมียวคิตตี้ได้อีกด้วย นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนสมัยเด็กๆตอนยังเป็นทาสแมวคงวิ่งเข้าใส่แทบไม่ทัน
อีกวัดในย่านนี้ที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เป็นวัดสำคัญที่ได้รับการขึ้นทะเบียนบันทึกเป็นมรดกโลก Kiyomizu-dera 「清水寺」คิโยมิซุ หมายถึง “น้ำอันบริสุทธิ์” เป็นชื่อที่ไพเราะและมีความหมายงดงาม เราไปถึงช่วงสายๆเพราะมัวแต่แวะชิมขนม ลานด้านหน้าวัดเต็มไปด้วยฝูงชนล้านแปดเรียบร้อยแล้ว โชคยังดีที่คิวซื้อตั๋วไม่ยาวอย่างที่คิด จุดชมวิวอยู่ที่ตรงระเบียงไม้กว้าง จากจุดนี้เราสามารถเห็นเมืองเกียวโตแบบพาโนราม่า อากาศวันนั้นแจ่มใส แสงแดดอ่อนๆทำให้ทุกอย่างดูเป็นประกาย จากระเบียงเราเดินผ่านอาคารวัด ลงบันไดหิน ลัดเลาะไปตามเนินเขาจนเกือบถึงทางออก มาสะดุดตาเข้ากับวิวสวยราวกับภาพโปสการ์ดที่ทุกคนพร้อมใจกันหยุดชม เป็นภาพของอาคารและเจดีย์วัดบนเนินเขาแต่งแต้มด้วยใบไม้สีเหลือง-แดงไล่โทนตัดกับผืนฟ้าสีสวย เป็นภาพบรรยากาศฤดูใบไม้ร่วงในเกียวโตที่สวยสมบูรณ์แบบมากๆค่ะ
Eating and drinking is a big thing here in Japan, and a lot of attention is given to the quality of the food, and particularly how it is served. Because local people love to talk, make friends and discuss business around a table, a lot about the culture and tradition of this country can be learned at bars and restaurants.
There are dozens of different kind of venues, and unlike Western places, it is difficult to judge the level of the place with a simple glance, you might sit on a wooden bench but eat top quality rare exotic food, and pay big money for it.
มาถึงอีกเรื่องที่สำคัญมาก นั่นคือ “เรื่องกิน” ค่ะ (ประจำ 555) วัฒนธรรมการปรุงอาหารของญี่ปุ่น โดยเฉพาะเมืองเก่าแก่อย่างเกียวโตนั้นรับประกันได้เลยว่าไม่เป็นสองรองใคร นอกจากความละเมียดละไมในการปรุงอาหารแล้ว มารยาทและวัฒนธรรมบนโต๊ะอาหารของเขาก็น่าสนใจไม่น้อย มีคำกล่าวว่าคนญี่ปุ่นมักจะดีลธุรกิจกันบนโต๊ะอาหาร พวกเขาเชื่อว่าการกินดื่มร่วมกันเป็นการสร้างสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นไม่ว่าจะกับเพื่อนหรือพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ
ร้านชั้นสูงแบบ Ryōtei 「料亭」ที่เราเอ่ยไว้ข้างต้น คือตัวอย่างของความพิถีพิถันในเรื่องการรับประทานอาหารของชาวเกียวโต มาตรฐานของร้านเรียวเทคือ ทุกอย่างต้องได้รับการคัดสรรมาอย่างดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัตถุดิบ จานชาม การจัดร้านก็ต้องให้มีความกว้างขวางโอ่โถง มีห้องส่วนตัว มีสวนญี่ปุ่นประดับ แถมยังต้องมีการเอนเตอร์เทนลูกค้า และนั่นคือที่มาของอาชีพ “เกอิชา”
We had a special dinner at Kikunoi Honten, a top end restaurant in Kyoto awarded by three Michelin stars, it was a fantastic dinner and certainly totally different from any other fine dining we ever did. Kyoto has more Michelin stars per head than any other city in the World, so I could not miss the chance to dine in style in this gastronomic heaven. The attention here is all about quality and seasonal products, being autumn at the time of my visit we enjoyed delicacies such as Matsuba snow crab from Hyōgo, fish roes, and kaki.
ร้านอาหารมื้อพิเศษสุดของทริปนี้ คือร้าน Kikunoi Honten ที่มีสามดาวจากมิชลินเป็นเครื่องการันตี พูดถึงมิชลินไกด์ ทราบกันไหมคะว่าเกียวโตคือเมืองที่มีร้านอาหารติดดาวมิชลินเยอะที่สุดในโลกเมื่อเทียบสัดส่วนกับจำนวนประชากร บอกแล้วว่าคุณภาพคับแก้วค่ะเมืองนี้ ร้าน Kikunoi Honten คือบ้านเก่าหลังใหญ่ที่จัดแบ่งเป็นห้องๆ ทุกโต๊ะถูกจัดให้อยู่ในห้องส่วนตัวขนาดกว้างที่ปูด้วยเสื่อทาทามิ กลางห้องมีโต๊ะเตี้ยและเบาะรองนั่ง และทุกห้องจะมีคนดูแลประจำห้องซึ่งเป็นหญิงสาวในชุดกิโมโน บรรยากาศเหมือนในหนังญี่ปุ่นสมัยก่อนไม่มีผิด อาหารถูกจัดเป็นคอร์สในคอนเซปท์ฤดูใบไม้ร่วง แน่นอนว่าทางร้านใช้วัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น มีปู Matsuba snow crab จากเฮียวโก ไข่ปลา และลูกพลับ เป็นตัวเอก ความอร่อยอยู่ที่ความสดใหม่ของวัตถุดิบ การจัดจานปราณีตสวยงามเข้ากับฤดูกาล บางจานห่อมาเป็นเซ็ตของขวัญ สวยซะจนไม่กล้าแกะกินเลยค่ะ
It really was fun taking my husband to many of those traditional places, often there is no English menu and you have to trust either the chef or your host, but I cannot think about a better way to explore Japan than this, you might not understand the language, but your tastebuds will appreciate your efforts.
คุณสามีให้ข้อสังเกตุที่น่าสนใจข้อหนึ่ง ว่าร้านอาหารที่ญี่ปุ่นนั้นเราไม่สามารถคาดเดาจากหน้าร้านได้เลยว่าเป็นร้านระดับไหน ร้านห้องแถวเล็กๆบรรยากาศกันเองเหมือนบ้านอาจเสิร์ฟเมนูสุดพิเศษในราคาเหยียบหลักหมื่น ฉะนั้นอย่าเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าร้านเป็นอันขาดให้ลองเช็คเมนูก่อน แต่ก็เท่านั้นแหละค่ะ เพราะเมนูญี่ปุ่นมักจะเขียนด้วยตัวอักษรคันจิไม่เว้นแม้กระทั่งตัวเลข (แป่ววว!) ถ้าไม่อยากพลาดงานนี้คงต้องหนีบเจ้าบ้านหรือคนที่รู้ภาษาไปด้วยคงจะเป็นการดีที่สุด