Few people would expect to find one of the most Instagrammable places on Earth in a residential suburb of Nairobi, but when you hear the story behind Giraffe Manor and what it has become you will be hardly surprised.
Originally built as a hunting lodge back in the 30s, to resemble the same Scottish style of the owners lodge in Scotland, but later abandoned for many years before a nature-loving family purchased the property in the 70s and created a giraffe sanctuary to protect the few remaining species of the Rothschild giraffes. Many years later they decided to allow guests in this charming property to enjoy a unique and intimate time with those beautiful creatures.
เชื่อว่าใครที่หลงใหลในการท่องเที่ยวและชอบติดตามข่าวสารจากเพจท่องเที่ยวหัวใหญ่ระดับโลกทั้งหลาย คงเคยผ่านตากับภาพบ้านแบบชนบทในอังกฤษที่มีฝูงยีราฟเดินอย่างอิสระรายล้อม ความคิดแว่บแรกที่ได้เห็นภาพยีราฟโผล่หัวเข้ามาในบ้านเพื่อร่วมวงอาหารเช้าคือ “นี่ของจริงหรือฉากในหนัง?” ไม่รอช้ารีบกดเข้าไปดูสถานที่เช็คอินในแทบจะทันที ต้องตกใจไม่น้อยเมื่อพบว่าบ้านหน้าตาอังกฤษจ๋าขนาดนี้เป็นโรงแรมซึ่งอยู่ในเมืองชนบทใกล้กับเมืองหลวง Nairobi ของประเทศเคนย่า และมันมียีราฟเดินป้วนเปี้ยนอยู่จริงๆด้วย!
หลังจากฝันเฟื่องอยู่เป็นปีในที่สุดเราก็ได้มาพักที่โรงแรมในฝัน Giraffe Manor โรงแรมและศูนย์อนุรักษ์ยีราฟพันธุ์ Rothschild ในประเทศเคนย่า ที่ที่เราจะได้ใช้เวลากับยีราฟแบบใกล้ชิดแนบสนิทแบบไม่เคยได้สัมผัสที่ไหนมาก่อน ไฮไลท์สุดพีคคือการที่มียีราฟมาทานอาหารเช้าร่วมโต๊ะ ทำเอาคนที่ไม่ทานอาหารเช้าอย่างเรา กระตือรือร้นอยากจะตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเพื่อลงมาทานอาหารเช้าสุดพิเศษแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
Bookings are hard to get, travelers from around the World try to secure one of the few rooms many months in advance, but with some careful planning I was lucky to reserve a two-night stay at the end of my African trip.
Arriving at lunch time, we were welcome to our cosy room on the first floor, before being invited to enjoy a delicious lunch in the garden.
So far you could compare this experience to any charming lodge around the World, except you would find a dozen giraffes roaming freely around the gardens. This makes for the whole experience quite surreal, but the highlight is the special interaction you get at tea time.
ความท้าทายเริ่มตั้งแต่การจอง ขนาดว่าทางโรงแรมสร้างอาคารเพิ่มอีกหลังเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ก็ยังต้องจองหลายเดือนล่วงหน้า ประจวบเหมาะคุณสามีมีวันหยุดช่วงเดือนมกราที่ยังไม่ได้มีแพลนไปไหนเลยลองเข้าไปส่องดูเล่นๆ โชคเข้าข้างมีห้องสำหรับ 2 คืนเหลืออยู่ห้องสุดท้ายพอดี เป็นห้องไซส์เล็กอยู่ที่ชั้นสองของอาคารหลังแรกซึ่งเป็นหลังเก่าแก่ดั้งเดิม แล้วเราก็เริ่มแพลนทริปเที่ยวประเทศเคนย่าอย่างเป็นจริงเป็นจังหลังจากได้ห้องนี้มาอยู่ในอ้อมกอด
แต่เริ่มเดิมทีบ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นในยุค 30 เจ้าของบ้านชาวสก็อตแลนด์ต้องการสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศสำหรับล่าสัตว์ (hunter lodge) โดยถอดแบบมาจากบ้านสไตล์สก็อตแลนด์ประเทศบ้านเกิด หลังจากนั้นก็ถูกทิ้งร้างเป็นเวลาหลายปี จนประมาณยุค 70 เจ้าของคนใหม่ได้ทำการปรับปรุงพร้อมกับจัดตั้งเป็นศูนย์อนุรักษ์ยีราฟพันธุ์ Rothschild และได้เปิดต้อนรับให้แขกเข้าพักในเวลาต่อมา
Served at the front of the lodge in traditional English style, the afternoon tea is of high standard and would match the best British hotels in quality and variety. But none of us where there to spoil ourselves, rather to feed the giraffes that, very smartly, know too well that this is their time to enjoy some snacks too.
Kindly provided by the hotel staff, those little brownish “giraffes snacks” that look very much like a piece of chalk, are very sought after by the giraffes that are happily coming very close to us to grab as many as they could.
And they have only one mean to grab them from you, that is with their extra-long tongue. So if you feel brave enough, you can hold one piece with your lips and enjoy a “giraffe kiss”. Trust me, it does not feel as bad as it sound, their tongue feels very dry and apparently their saliva is a strong anti-bacterial too, so just let yourself loose and enjoy the moment.
โรงแรมและศูนย์อนุรักษ์แห่งนี้มียีราฟทั้งหมด 12 ตัว (อัพเดท: ได้ข่าวมาว่ามีลูกยีราฟเกิดใหม่เพิ่มอีกหนึ่งตัว) ที่พอจำชื่อได้ก็จะมี Eddy, Daisy, Kelly, Stacey, Jog, Margaret อยู่ๆไปก็จะเริ่มจำเอกลักษณ์ของแต่ละตัวได้ ในแต่ละวันพนักงานจะปล่อยพวกมันเข้ามาเดินที่บริเวณตัวโรงแรมสองเวลา คือช่วงอาหารเช้า 6:00-9:00 และช่วงชายามบ่าย 16:00-19:00 เวลาอื่นๆมันก็จะกลับไปที่แคมป์ที่เปิดให้คนนอกเข้ามาชมและให้อาหาร ยีราฟเป็นสัตว์ที่กินได้กินดีกินทั้งวัน เพราะมันนอนแค่วันละ 30 นาที มากสุดคือ 2 ชม. สำหรับเด็ก คิดดูเอาเองว่าเวลาที่เหลือทั้งวันจะทำอะไรไปได้นอกจากกินๆๆ นี่แหละชีวิตดี๊ดีของจริง
สนนราคาที่พักทะลุหลัก 1000 USD เป็นแพ็คเกจ full-board รวมอาหาร 3 มื้อและ afternoon tea มาพักที่นี่ไม่ต้องคิดอะไรมาก กินๆนอนๆและรอเวลาเล่นกับน้องยีราฟ พนักงานจะคอยดูแลเราอย่างใกล้ชิดเพื่อแนะนำวิธีให้อาหารและการเล่นกับน้องๆ อาหารที่ทางโรงแรมเตรียมให้เป็นธัญพืชอัดแท่งขนาดประมาณแท่งชอล์ก แค่ชูเจ้าแท่งนี้ขึ้นน้องจะปรี่คอยาวๆพุ่งมาหาเราทันที ยีราฟไม่ใช่สัตว์ดุร้ายแต่ที่ต้องระวังคือน้องหัวโตมาก (หมายถึงกระโหลกใหญ่) ถ้าสะบัดมาโดนหัวเราอาจมีน็อคได้เหมือนกัน จึงต้องรู้จังหวะในการเข้าใกล้
สำหรับใครที่เบื่อการยื่นอาหารให้แบบธรรมดา เราขอแนะนำ การจูจุ๊บกับน้องยีราฟแบบลิ้นทูเมาท์ นั่นก็คือเราต้องคาบแท่งธัญพืชไว้ที่ปากแล้วน้องจะยื่นลิ้นยาวๆมาตวัดเข้าปากน้องแบบพลิ้วๆหาตัวจับยาก มันไม่ขยะแขยงอย่างที่คิดนะ ลิ้นน้องอาจจะสากๆนิดๆ แต่มันค่อนข้างแห้งและไม่เหม็น ที่สำคัญไม่ต้องกลัวปัญหาด้านสุขอนามัย เพราะในน้ำลายของยีราฟมีสารต้านแบคทีเรียโดยธรรมชาติ เป็นสัตว์ที่ปากสะอาดไม่มีเชื้อโรคโดยไม่ต้องพึ่งยาสีฟันแต่อย่างใด (เริ่ดตรงนี้!)
Dinner is a romantic affair with multi-course meal and delicious wine, and with not much around, evening are spent playing board games, chatting to the other guests or enjoying a book. Mornings, though, are when action really takes place. That’s giraffes favourite eating time, so try to secure a table by one of the windows and be ready to share your morning meal with one of those amazing animals.
They will stick their head through the window, look for their snack, lick them up from your table, you will not have much time to enjoy your own food but you are guaranteed some outstanding pictures with them. Beware they are not posers, and if not careful some of them could headbutt you, after all not everybody loves an early morning picture.
The whole atmosphere feels serene and enjoyable, living in such close proximity with those beautiful giraffes is an experiences to be lived and a guarantee that it will remain forever in your memories. The staff are lovely and the whole lodge feels like I could stay there forever. And that is exactly what a family of warthog did, escaped from the Nairobi zoo they wandered around until they made their way into the lodge gardens, and decided never to leave again. I never thought they were such smart animals.
เวลาอาหารเช้าที่เรารอคอยมันตื่นเต้นและสนุกมาก เรารีบลงไปห้องอาหารตั้งแต่ก่อน 6 โมงเช้าเพราะอยากจะได้ภาพสวยๆ แต่ความตะกละไม่เคยปราณีใคร แค่วางแท่งชอล์คลงบนจานเท่านั้น พรึ่บพรั่บๆไม่รู้ไหนหัวคนไหนหัวยีราฟ (ให้ภาพเล่าเรื่อง) ไม่รอให้พี่ได้จัดท่าจัดพร็อบเล้ยยย ทั้งถูกขโมยซีน ถูกบัง ถูกเบียด จะขยับหนีก็เป็นเรื่องยากเหลือเกิน หัวของเจ้า Eddy ยีราฟหนุ่มที่ตัวใหญ่สุดนั้นมีขนาดเท่ากับครึ่งตัวของพี่ (ไม่ได้พูดเล่น!) พออาหารเช้าเริ่มทะยอยเสิร์ฟขึ้นโต๊ะหน้าต่างก็ถูกปิดลง …แล้วความสงบสุขก็กลับมาอีกครั้ง
นอกจากยีราฟเราสังเกตเห็นว่ามีครอบครัวหมูป่าแอฟริกา หรือ warthog อยู่ด้วย สต๊าฟเล่าให้เราฟังว่า ครอบครัวนี้หลบหนีออกมาจากสวนสัตว์ใกล้ๆ และได้มาปักหลักสร้างถิ่นฐานอยู่กับยีราฟที่นี่ซักพักใหญ่แล้ว พวกมันจะคอยเก็บอาหารของยีราฟที่ตกอยู่ตามพื้นกิน ทางเจ้าของเห็นว่าไม่มีพิษมีภัยอะไรเลยปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติ ไม่ได้เลี้ยงไว้ นับว่าเป็นดินแดนสวรรค์ของพวกมันแท้ๆ ได้อยู่ในที่สวยๆแถมยังอุดมสมบูรณ์ อาหารการกินไม่มีพร่อง
ถามว่าคุ้มไหมกับเงินที่จ่ายไปและการเดินทางมาไกลขนาดนี้ ตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่าคุ้มสุดคุ้มกับประสบการณ์สุดพิเศษที่หาที่ไหนไม่ได้แบบนี้ นอกจากจะเป็นวันหยุดพักผ่อนที่แสนประทับใจแล้ว การเข้าพักที่นี่ก็เหมือนได้ช่วยสนับสนุนโครงการอนุรักษ์ยีราฟที่ใกล้สูญพันธุ์แห่งนี้ทางอ้อม ข่าวดีคือจากที่ใกล้จะสูญพันธุ์เหลือไม่ถึงร้อยตัว ตอนนี้ทางประเทศเคนย่ารณรงค์เพิ่มประชากรของยีราฟพันธุ์หายากชนิดนี้ได้มากขึ้นถึง 800 กว่าตัวแล้วค่ะ