Driving towards the Omani border I was wondering if we were really heading towards an idyllic beach resort as we planned, given that all I could see around me was plain desert and barren sceneries. Little attention I gave to my husband that was talking about flying, paragliding and other flying activities, I couldn’t make much sense of what he was talking about.
จบทริปดูไบ คุณสามีชวนขับรถไปเที่ยวทะเลที่โอมานต่อ ตลอดหนึ่งชั่วโมงบนท้องถนนอย่าว่าแต่ “ทะเล” เลยค่ะ สิ่งที่จอประสาทตาประมวลผลออกมานั้นมีแต่ภาพของ “ทะเลทราย” ล้วนๆไม่มีอย่างอื่นเจือปน ฉันจึงได้แต่นั่งเหม่อลอยมองวิวนอกหน้าต่างที่ดูแห้งแล้งแบบเงียบๆ แถมคุณสามีเธอก็เอาแต่พร่ำพรรณนาถึงเครื่องร่อน-เครื่องบินอะไรก็ไม่รู้ตลอดทาง…
After the border control at Dibba, entering a small strip of Oman called Musandam peninsula, we finally started to get a glimpse of the sea, but we kept driving towards the mountains, the road became just a gravel strip shortly after the border so I was glad we hired a 4WD.
After a few minutes we arrived at a checkpoint, at the foot of the mountain, where we met the hotel staff and were invited to either park our car and be driven across by them or sign a disclosure because the steep road leading to the resort is not something every driver would be comfortable about. My husband was happy to drive, and when we reached the top of the mountain we could finally admire the beautiful Zighy Bay below us.
พอผ่านด่านที่ชายแดนเมือง Dibba ก็เริ่มเข้าเขต Musandam peninsula มันคือแหลมทางตอนเหนือสุดของประเทศโอมานที่ยื่นไปในอ่าวเปอร์เซีย กลิ่นทะเลเริ่มลอยมาจางๆทำให้อุ่นใจว่าน่าจะใกล้ถึงที่หมายละ แต่ก็ยังไม่วายต้องขับรถไต่เขาต่อไปอีกพักใหญ่ ช่างเป็นประเทศที่อุดมไปด้วย mountain road จริงๆ นับว่าคิดถูกมากๆที่เช่ารถแบบโฟร์วีลมาค่ะ
แล้วเราก็ขับมาถึงจุดที่เรียกว่า checkpoint เป็นจุดนัดพบกับพนักงานของทางโรงแรมค่ะ เนื่องจากหุบเขาข้างหน้าเป็นทางวกวนและอันตรายพอสมควรสำหรับคนที่ไม่ชินเส้นทาง จึงมีช้อยส์ให้เลือกว่าจะไปกับทางรถของโรงแรมหรือจะขับต่อไปเอง คุณสามีชอบความท้าทายจึงเลือกที่จะขับต่อไปเอง โดยต้องมีการเซ็นต์รับทราบว่าได้รับการแจ้งเตือนแล้วและทางโรงแรมจะไม่รับผิดชอบใดๆหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น
What I thought was just a stop to take pictures turned out to be quite an adventure, since my husband organized a surprise paraglide flight for me, so I could enjoy the scenery with a bird’s view, obviously under the supervision of a professional at the controls. I finally understood what he was mumbling about on the way there.
Thirty minute of pure fun and excitement before landing on the beach just by the lobby, what a fantastic way to check into the resort.
ระหว่างที่จอดรถลงมาคุยกับพนักงาน เราก็ถือโอกาสลงมายืดเส้นยืดสาย พร้อมชมวิวของรีสอร์ทและหาดส่วนตัวจากบนเขาเป็นน้ำจิ้ม แต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิคะ! พนักงานหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งถือเป้ใบใหญ่ใส่อุปกรณ์ Paragliding (ร่มบิน/ร่มร่อน) เดินตรงดิ่งมาถามว่าระหว่างเราคนไหนจะร่อนลงไปกับเขา งานเข้าล่ะสิ! โดนทำเซอร์ไพร์สจากคุณสามีเข้าให้แล้ว มิน่าถึงถามเรามาตลอดทางเรื่องเครื่องร่อน แผนเหนือเมฆจริงๆ
เขาจัดแจงเอาเป้ใส่ที่หลังเราแล้วก็ดึงร่มออกจากเป้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่ถึงสิบนาทีพอเซ็ทอุปกรณ์เข้าที่ เขาก็เข้ามาประกบที่ด้านหลังเหมือนท่านั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ พร้อมบอกให้เราวิ่งและกระโจนออกไปนอกหน้าผาเลย ไม่ทันจะได้คิดขัดขืนเราถูกดันตัวให้วิ่งออกไปและลอยละล่องอยู่กลางอากาศซะแล้ว! พนักงานหนุ่มชวนเราคุยเพื่อให้หายเกร็ง และบอกให้ลองกางแขนออกกว้างๆโดยไม่จับอะไรดู แถมยังพาเราโต้ลมลอยขึ้นสูงลิ่ว จนภูเขาลูกใหญ่ที่ยืนเมื่อครู่เหลือแค่เล็กจิ๋วเมื่อมองลงมา (ได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ) พาตะลอนชมวิวกลางอากาศจนหนำใจเขาก็พาเราเคลื่อนไปข้างหน้าจนมาถึงที่ชายทะเลหน้ารีสอร์ท พร้อมกับข้อเสนอที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ “ผมมีท่าทีเด็ดปิดท้าย เดี๋ยวจะพาคุณหมุน spin แบบลูกข่างลงไปนะ” เราอึ้งไปสามวิ น้อมรับชะตากรรมและตอบกลับไปอย่างแผ่วเบาว่า “ถามคำเดียวค่ะ ไม่มีใครเคยตายจากท่านี้ใช่ไหม?” ไม่ทันขาดคำ เราถูกจับให้อยู่ในท่าคว่ำหน้าลงพื้น หมุนติ้วเหมือนใบพัดพัดลมเบอร์แรงสุด และลงจอดที่ชายหาดตรงข้างล๊อบบี้โรงแรมแบบที่ยังมึนๆว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง?! ตัดภาพไปคุณสามีนั่งหัวเราะร่ารออยู่ในห้องล๊อบบี้อย่างผู้ชนะ (แกล้งเมียสำเร็จมีความสุขมากสินะ)
มาเช็คอินแบบนี้ก็ได้เหรอ??? สรุปว่าการ Paragliding ครั้งแรกของเราคือสามสิบนาทีแห่งความหวานอมขมกลืน (มีความตื่นเต้นปนพะอืดพะอม) ก็สนุกดีนะคะ แต่ถ้าถามว่าจะเล่นอีกไหม ดิฉันคงต้องขอเวลาทำใจอีกน๊านนนนนเลยล่ะค่ะ
We were taken to our pool villa, the upscale rustic style felt perfectly blended with the environment, and the spacious outdoor area a great place to relax, despite the extreme heat during the hottest hours of the day. We were introduced to our GEM, guest experience manager, a sort of private butler that would take care of our needs during our stay.
มาถึงที่พักแบบทุลักทุเลเล็กน้อย เพราะในหัวยังหมุนติ้วๆอยู่ เป็นบ้านพักแบบ pool villa ที่มีรั้วรอบและหลังคาทำจากหินและก้านไม้เป็นซี่ๆ ในบริเวณบ้านมีห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องอาบน้ำ outdoor และ เทอร์เรซขนาดกว้างพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว (บ้านในฝันชัดๆค่ะ) หน้าประตูบ้านมีจักรยานจอดอยู่สองคันเอาไว้ให้ขี่เล่นในรีสอร์ทด้วย
Six Senses Zighy Bay เป็นรีสอร์ทแห่งเดียวที่ตั้งอยู่บนชายหาดริมอ่าว Zighy Bay (ซิกกี้เบย์) มาสร้างรีสอร์ทหรูตรงพื้นที่ที่ไม่มีอะไรนอกจากหมู่บ้านชาวประมงขนาดเล็กและฟาร์มแพะได้ ถือว่าไม่ธรรมดาค่ะ! และที่น่าทึ่งคือไม่รู้เขาขนเอาอาหารการกินและเครื่องดื่มต่างๆเข้ามาได้อย่างไรทุกวี่ทุกวัน การเดินทางมารีสอร์ทถ้าไม่ข้ามเขาก็ต้องข้ามทะเลมา มันเป็นที่ห่างไกลความเจริญมากๆเลยนะคะพูดตรงๆ แถมในรีสอร์ทยังมีห้องอาหารนานาชาติให้เลือกทานได้ไม่ซ้ำแต่ละวัน นี่มันงานช้างชัดๆค่ะ!
As you would expect from Six Senses, despite the remoteness of the location every need is considered, and the choice of restaurants and activities is enough to keep you entertained for a few days.
One of the highlights of this resort is the Sense on the Edge restaurant, perched on the mountain and only open a few days a week. The resort drove us there to enjoy one of the most spectacular meals of my life, both in term of stunning views and the delicious lobster menu.
Sense on the Edge เป็นห้องอาหารที่เปิดให้บริการแค่อาทิตย์ละ 1-2 วันเท่านั้น ห้องอาหารแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาไม่ไกลจากจุดที่เรากระโดดร่มบิน ต้องจองล่วงหน้าและให้พนักงานขับรถพาขึ้นไปค่ะ วิวจากตรงนี้สวยเกินบรรยายขนาดว่าไปถึงตอนมืดแล้ว อาหารคืนนั้นเป็นเมนู 4 คอร์ส ที่ทำจากกุ้ง lobster ล้วนๆ (ทุกจานยกเว้นของหวาน) คุณสามีติดอกติดใจมากกกก ทุกวันนี้ยังพูดถึงไม่หยุดปาก ถึงขนาดยกให้เป็นมื้อโปรดมื้อหนึ่งของชีวิตเลยเชียวค่ะ
We loved swimming and walking along the sandy beach in the morning, which was also home for hundreds of small yellow crabs. Watching them ran, stop, ran, stop, then ran back into the hole was so much fun!
The hut-shaped bar was just next to the main pool where we spent much of our time outside the villa. The large sized pool with the imposing mountain in the background was stunning. A pleasure to watch while sipping cold drinks in the shade, trying to hide from the scorching sun.
เราชอบลงเล่นน้ำและเดินเล่นสูดอากาศที่ริมทะเลตอนช่วงเช้า ในขณะที่แขกส่วนใหญ่กำลังง่วนอยู่กับการทานอาหารเช้าที่มีให้เลือกละลานตา หาดโค้งยาวสวยแห่งนี้ยังเป็นบ้านของปูพื้นเมืองตัวขนาดเล็กสีเหลืองซีดจำนวนมากอีกด้วย ชอบดูเวลามันเดินๆหยุดๆและผลุบๆโผล่ๆจากรูค่ะ ดูพวกมันระวังตัวและเหมือนจะครุ่นคิดอยู่ตลอด หรืออันที่จริงมันอาจจะไม่คิดอะไรเลยก็เป็นได้ (เราเองสินะที่คิดเยอะ)
เตียงผ้าใบริมสระใหญ่กลางรีสอร์ทคือที่สิงสถิตในช่วงกลางวัน แถวนั้นแดดเปรี้ยงมากค่ะ ต้องพรางตัวอยู่ใต้ร่มเงาถ้าไม่อยากกลายเป็นปูเผาไปซะก่อน สระว่ายน้ำที่นี่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร แค่ว่ายทั่วหนึ่งรอบก็แทบหมดแรงแล้ว และสิ่งที่ทำให้สระว่ายน้ำนี้พิเศษกว่าที่ไหนๆคือฉากด้านหลังสระที่เห็นเป็นภูเขาหินลูกใหญ่ ด้านนึงติดทะเลด้านนึงติดภูเขา ช่างเลือกสถานที่ตั้งได้พิเศษสุดจริงๆค่ะ พอบ่ายแก่ๆเราก็พากันขยับไปที่บาร์ซึ่งหน้าตาเหมือนกระท่อมสองชั้นข้างๆสระ ช่วงเวลา Happy hours คือชั่วโมงแห่งความแฮปปี้สมชื่อ เครื่องดื่มเย็นๆช่วยเติมความสดชื่นได้ดีเสมอ
Once we joined the sunset cruise, boarding the dhow, a local style of boat, at the jetty just nearby the hotel and cruising along the coast while enjoying sparkling date wine and some nibbles. It was a great way to appreciate the geography of this area, so remote and forgotten I started to wonder who had the idea of building a resort just here, but also thankful they provide such a brilliant location for total relax.
There are only a few villages in the area, living mostly of fishing and often very detached from modern life. One of those is totally surrounded by mountains and only accessible by sea, while another has formally complained to the resort to prevent the boat from getting close to his shore. Apparently the sight of western women not properly dressed to the Muslim code was not welcome among the inhabitants.
เย็นวันหนึ่งเรามีนัดล่องเรือดูพระอาทิตย์ตก (sunset cruising) เป็นเรือสไตล์พื้นเมืองที่เรียกว่า dhow ลำค่อนข้างใหญ่ทีเดียว เราใช้เวลานั่งรถจากรีสอร์ทไปประมาณสิบนาทีเพื่อมาขึ้นที่ท่าเรือตรงหมู่บ้านชาวประมงใกล้ๆ ครั้งนี้มีครอบครัวชาวดูไบ 5 คนเป็นผู้ร่วมทริปค่ะ บนเรือมีอาหารทานเล่นและเครื่องดื่มอย่างดีไว้บริการ เป็นครั้งแรกที่ได้ลองชิม sparkling wine ของพื้นเมืองที่ทำมาจากลูกอินทผาลัม รสชาติออกหวานและความซ่าน้อยไปนิดค่ะ ส่วนวิวที่เห็นจะเป็นภูเขาหินซะส่วนใหญ่จึงไม่ได้สวยสะดุดตาอะไรนัก แต่ก็นับเป็นภูมิทัศน์ที่แปลกตาหาดูยาก ยิ่งช่วงเวลาพระอาทิตย์ตก ผืนทะเลกว้างสะท้อนแดดเปล่งประกายแสงสีทองระยิบระยับ ยิ่งพาให้เคลิ้มไปกับบรรยากาศรอบๆ ถ้าเพลงไททานิคมาก็ใช่เลยค่ะ
ชาวบ้านที่นี่ค่อนข้างปิดตัวและเคร่งครัดในศาสนาและประเพณีเป็นอันมาก ในบริเวณอ่าวนี้มีอยู่เพียงไม่กี่หมู่บ้าน ว่ากันว่ามีหมู่บ้านหนึ่งถูกล้อมด้วยภูเขา การเดินทางเข้า-ออกทำได้ทางทะเลเท่านั้น ส่วนอีกหมู่บ้านหนึ่งก็ไม่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวล่องเรือเข้าไปใกล้ เนื่องจากไม่พอใจกับภาพของผู้หญิงชาวตะวันตกในชุดที่ไม่เหมาะสม
Apart from all mentioned, my biggest excitement was actually seeing a big herd of mountain goats climbing the hill during sunrise. The locals told me that it was their routine to spend a whole day on the mountain and later walk back to the farm before sunset on their own. Very smart and disciplined animals!
There was also a big tree in front of the resort where the mountain goats loved to gather around. It was fun to see their daily activities: resting, climbing for leaves, and socializing.
เนื่องจากเป็นคนเกิดปีแพะเลยแอบปลื้มแพะอยู่ลึกๆในใจ ภาพของฝูงแพะภูเขาหลายสิบตัวที่เดินเรียงแถวไต่ขึ้นเขาในตอนเช้าตรู่ คือภาพประทับใจที่สุดของทริป คนที่นี่บอกว่าตอนเช้ามืดพอเขาเปิดประตูฟาร์ม พวกมันก็จะพากันขึ้นไปหากินบนภูเขาและใช้เวลาอยู่บนนั้นตลอดวัน จนช่วงบ่ายแก่ๆก่อนถึงเวลาพระอาทิตย์ตกจึงพากันกลับลงมาเข้าฟาร์ม ไม่ได้มีคนนำทางพาไปนะคะ มันรู้เวลาไปเอง-กลับเอง แหน่ะ! ฉลาดแสนรู้แถมยังมีวินัยเป็นเลิศ
ส่วนที่ด้านหน้ารีสอร์ทก็จะมีฝูงแพะภูเขามาป้วนเปี้ยนตลอดวันเช่นกัน เพราะมีต้นไม้ใหญ่ที่เป็นทั้งแหล่งอาหารและร่มเงาให้พักผ่อน แพะภูเขาเป็นสัตว์ที่น่าพิศวง นอกจากจะไต่เขาหินได้แล้ว พวกมันยังมีเคล็ดวิชาตัวเบาสามารถยืนบนกิ่งไม้เล็กๆได้ด้วยค่ะ ทึ่งมากที่ได้มาเห็นกับตาตอนมันปีนขึ้นไปยืนบนยอดของต้นไม้ เท่านั้นไม่พอความอึดยังเป็นที่หนึ่ง ในสภาพอากาศที่แห้งแล้งมันสามารถอยู่รอดได้ด้วยการเล็มกินใบไม้นิดๆหน่อยๆในแต่ละวัน เรียกได้ว่าต้นไม้ต้นเดียวเลี้ยงได้ทั้งฝูง
I really enjoyed the concept of Six Senses Zighy Bay, the unique location, the luxury without opulence, everything thought to guarantee a stress-free, enjoyable and relaxing holiday, with a touch of craziness given by the paraglide experienced.
ขอยกให้รีสอร์ทนี้เป็นที่สุดในด้านโลเกชั่น หาดสวยส่วนตัวริมทะเลที่ถูกโอบล้อมด้วยภูผาหิน เสมือนเป็นเกราะป้องกันชั้นดีจากความวุ่นวาย มันคือสวรรค์แห่งการพักผ่อนที่แสนสงบ บวกกับสปาที่เป็น signature ของรีสอร์ทในเครือ Six senses และกิจกรรมชวนตื่นเต้นอย่าง Paragliding เข้าแล้ว การพักผ่อนที่นี่จึงมีทั้งความสนุกและผ่อนคลาย ต้องบอกว่าคุ้มแล้วกับที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล(ทราย)มาไกลค่ะ