Time to explore Thailand sister country: separated only by the Mekong River, Thailand and Laos have a strong mutual bond from the past, both countries share much of their culture, lifestyle and language.
Not only it is on the Unesco list for its well preserved architectural, religious, and cultural heritage, but also being a French colonial town, we were very curious to visit this unique town: Luang Prabang.
ได้เวลาไปเบิ่งบ้านปี้เมืองน้องของเฮาละเจ้า…
จากคำเล่าลือหนาหูว่าหลวงพระบางคือเมืองที่สวยสงบและมีเสน่ห์ตราตรึงกว่าเมืองไหนๆในแถบภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ด้วยเป็นทริปเที่ยวลาวครั้งแรกของทั้งคู่ เราจึงขอไปส่องดูให้รู้แจ้งแถลงไข
หลวงพระบาง (Luang Prabang) คือเมืองที่มีอารยธรรมดั้งเดิมในแบบฉบับของตัวเอง ผนวกเข้ากับอิทธิพลจากฝรั่งเศสเมื่อครั้งที่ตกเป็นเมืองขึ้นได้อย่างลงตัว นอกจากงานสถาปัตยกรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว การทำนุบำรุงสืบทอดศาสนา และรักษาไว้ซึ่งวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมือง ทำให้หลวงพระบางเป็นตัวอย่างของเมืองแห่งวัฒนธรรม ที่ยูเนสโกถึงกับประกาศขึ้นทะเบียนให้เมืองทั้งเมืองถือเป็นเมืองมรดกโลก
Our accommodation of choice was Luang Say Residence, a colonial mansion set in a wonderful tropical garden, with gorgeous rooms scattered among the lush vegetation. It took me less than a minute to forget everything about the noise and traffic of Bangkok.
The town itself is quiet and easy to navigate, we had a couple of bicycles to use and it was a great way to explore this charming town. The only time we opted for a taxi was early morning, because the temperatures are pretty cold at this time of the year (November).
เราบินจากกรุงเทพฯไปช่วงเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงที่อากาศกำลังเย็นสบาย แดดไม่ร้อน (แต่ตอนกลางคืนกับช่วงเช้ามืดเริ่มหนาวแล้วค่ะ) ที่พักของเรา โรงแรม Luang Say Residence เป็นบ้านเก่าแก่สองชั้น เพดานสูง สร้างขึ้นตั้งแต่สมัย French colonial ตั้งอยู่ในสวนทรอปิคอลกินบริเวณกว้าง มีนกกระสาและกระต่าย 3-4 ตัววิ่งเล่นอยู่ในสวนเป็นตัวชูโรง คอยสร้างรอยยิ้มให้กับแขกที่มาพัก จากระเบียงห้องที่เราพักจะเห็นวิวสระว่ายน้ำอยู่ตรงหน้าพอดี บางวันเราก็ทานข้าวกันที่ระเบียงห้องเลยค่ะ ชมวิวไปทานไป แล้วก็ลงไปว่ายน้ำเล่น สระว่ายน้ำที่นี่ถูกโอบล้อมไปด้วยต้นไม้เขียว พื้นโดยรอบปูด้วยไม้ระแนง บรรยากาศสงบร่มรื่นและเป็นส่วนตัว เหมาะแก่การนอนเล่นอ่านหนังสือหรืองีบหลับหลังจากกิน (ข้าวเหนียว) อิ่มมาหมาดๆ
อาหารเช้าที่โรงแรมถูกใจเรามากทีเดียว มีให้เลือกทั้งก๋วยเตี๋ยวแบบลาวและขนมปังบาแกตต์แบบฝรั่งเศส แถมช่วงบ่ายมี afternoon tea เสิร์ฟด้วยนะคะ (แอบกระซิบว่าขนมอร่อยมาก) ส่วนกลางคืนถ้าไม่อยากออกไปไหนเราขอแนะนำห้องอาหารฝรั่งเศสที่โรงแรมเลยค่ะ ทั้งอร่อย บรรยากาศดี แถมมีไวน์ฝรั่งเศสดีๆให้เลือกเยอะเลย
In fact, the must-do in Luang Prabang is happening before sunrise, when hundreds of monks walk the street of this town to collect alms from the locals and tourists. We got up early in the morning, collected some food at the hotel lobby and jumped on a tuk-tuk towards the town centre where people were starting to gather along the streets.
The tuk-tuk driver showed us the best spot to sit down and wait for the monks right in front of the temple, that’s why we had a decent background for the picture –local knows best! We asked him to take a photo for us using iPhone 5S (the latest model at that moment), he seemed awkward and that made us worried if he knew how to use this phone. After taking couple shots, he handed my phone back and said “This one is difficult to take nice photo when it darks, my phone is better quality!”
กิจกรรมที่เป็นไฮไลท์ของหลวงพระบางเกิดขึ้นในช่วงก่อนฟ้าสาง ถนนในเมืองเต็มไปด้วยผู้คนที่มาปูเสื่อนั่งรอพระออกบิณฑบาต เพื่อรอ “ตักบาตรข้าวเหนียว” นั่นเองค่ะ ขนาดเราเองเป็นคนไทยก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเพราะเป็นครั้งแรกเหมือนกัน งัวเงียตื่นกันตั้งแต่ตีห้าเพื่องานนี้ เรารบกวนให้ทางโรงแรมจัดสำรับและเตรียมรถตุ๊กตุ๊กรับ-ส่ง ในสำรับจะมีข้าวเหนียวหนึ่งกระติ้บ ส้ม และขนมเวเฟอร์ ใช่ค่ะ ไม่มีกับข้าวเลยซักอย่าง! เพิ่งได้รู้ตอนนั้นเองค่ะว่าพระที่ลาวฉันแต่ข้าวเหนียวกับของหวานและผลไม้ แล้วท่านจะอิ่มท้องกันไหมนะ? (เราก็ได้แต่อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ)
พี่คนขับตุ๊กตุ๊กพาเราซิ่งฝ่าความมืดและลมหนาวยะเยือกเข้าไปในตัวเมือง พาเลี้ยวเข้าซอยนั้นออกซอยนี้จนไปถึงหน้าวัดในซอยเล็กๆแห่งหนึ่ง ตรงนั้นมีคนมานั่งรอไม่เยอะ ส่วนใหญ่ท่าทางเป็นแม่ค้าร้านขายของฝั่งตรงข้ามที่มารอตักบาตรก่อนเปิดร้านเป็นกิจวัตร บรรยากาศผิดกับตรงถนนใหญ่ ที่จะเห็นคนกลุ่มใหญ่ยืนออรอซื้อของตักบาตรตรงแถวตลาด บ้างมีไกด์เดินนำขบวนเหมือนเป็นกรุ๊ปทัวร์ย่อยๆมาลง พี่ตุ๊กตุ๊กมีท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่องกับการพาเรามาสถานที่ลี้ลับปลอดนักท่องเที่ยวแห่งนี้
ระหว่างที่นั่งรอพระ พอมีเวลาเราเลยแวะเข้าไปถ่ายรูปเล่นในวัด และวานให้พี่ตุ๊กตุ๊กช่วยแชะภาพพาฝรั่งมาตักบาตรข้าวเหนียวเป็นที่ระลึกให้หน่อย ดูทรงแล้วท่าทางพี่แกจะไม่คุ้นมือกับไอโฟน (ตอนนั้นเราใช้โมเดล 5S ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุด) เห็นทำท่าทางยึกๆยักๆ หน้าตาดูไม่สบอารมณ์ เราต้องคอยตะโกนบอกให้กดตรงหน้าจอเลยพี่ ที่เป็นรูปกลมๆใหญ่ๆอ่ะค่ะ พอถ่ายไปได้ซัก 2-3 ช็อตพี่แกก็ยื่นมือถือคืนมาให้พร้อมวลีเด็ดที่ยังตราตรึงหัวใจเราจนถึงทุกวันนี้ “รุ่นนี้ถ่ายตอนกลางคืนบ่สวยเท่าไหร่ เครื่องอ้ายดีกว่าเด้หนิ”
We finally took our spot among many local women, I felt many of them would come to offer some food to the monks before opening their shops for another working day.
Alms offered by local people are mainly sticky rice, fruits and snacks. It’s very unique and becoming popular for tourists to do this “Sticky rice alms”, it was my first time as well. Feeling part of this tradition, even if just for a day, and understanding the spiritual meaning of this “ceremony” is the highlight of any trip here.
ตลาด Night market ตอนกลางคืนมีบรรยากาศไม่ต่างกับทางเชียงใหม่บ้านเรา แต่ถนนเส้นสั้นกว่าและนักท่องเที่ยวไม่พลุกพล่านเท่า ตลอดถนนเต็มไปด้วยซุ้มขายอาหาร ของที่ระลึก และงานฝีมือต่างๆ เดินผ่านเห็นร้านขนมจีนขายดิบขายดี มีฝรั่งนั่งกินเต็มไปหมด ไอ้เราก็น้ำลายสออยากจะกินบ้าง แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ค่ะ เพราะเรามีมื้อเด็ดที่ตั้งตารออยู่ เดินต่อจากตลาดไปจนเกือบสุดถนน จะเป็นโซนของโรงแรมบูทีคขนาดเล็กที่ดัดแปลงมาจากบ้านเก่า ส่วนตัวชอบบรรยากาศบริเวณนี้มากเลยค่ะ ได้อารมณ์แบบเรโทรโบราณ ร้าน 3 Nagas ร้านอาหารที่เราตั้งใจมากินก็อยู่ในแถบนี้
เราสั่งเมนูเด็ดที่เป็นวัตถุดิบของพื้นเมืองทั้งนั้น ไหนจะสาหร่ายจากลุ่มน้ำโขง แกงหน่อไม้ใบย่านาง เนื้อควายย่างจิ้มแจ่ว สั่งมากินกับข้าวเหนียวดำพร้อมกระดกเบียร์ลาวลื่นคอ โอ้ย แซ่บอีหลี แซ่บขนาด แซ๊บบบแซ่บบบค่ะพี่น้อง! (โปรดออกสำเนียง local เพื่อให้ได้อรรถรส)
Visiting the Night market is also a very good experience, the main street gets busy after sunset with many stalls serving food and all sorts of souvenirs, from clothing to home decoration. Since I was quite hungry, however, I opted for a proper meal at the 3 Nagas restaurant in town, sitting outdoor under a tree and watching my husband try Lao food for the first time.
Luang Prabang lies at the confluence of the Nam Khan and Mekong river, and this brings much influence to the food of the town. Buffalo meat, bamboo shoot, river fish and Mekong weeds are pretty common in the restaurants here, some of them offering also great river views.
Next day we crossed the bamboo bridge by foot to reach the Dyen Sabai restaurant and bar on the opposite side, this place is quite hidden and not easy to see at first, but after asking some young kids we met on the bridge we were guided there.
After lunch we rode our bicycles around town, seeing the nice view along the river, and stopping at the famous Wat Xiang Thong temple.
เช้าอีกวันเรายืมจักรยานของโรงแรมออกไปปั่นเฟี้ยวฟ้าวทั่วเมือง ปั่นเลียบแม่น้ำชมวิวไปเรื่อยๆจนถึงสะพานไม้ไผ่แห่งหนึ่ง ได้ข่าวมาว่าฝั่งตรงข้ามมีร้านอาหารเก๋ๆซ่อนอยู่ เราจึงจอดจักรยานไว้แล้วเดินข้ามสะพานไม้ไผ่ไปอีกฝั่ง (ต้องจ่ายเงินค่าข้ามด้วยนะคะ) ข้ามไปถึงก็ยังไม่แน่ใจว่ามีร้านอยู่จริงๆเหรอ ยังเห็นเป็นป่ารกอยู่เลย พอดีกับที่มีแก๊งเด็กน้อยเดินผ่านมา เด็กๆจึงบอกให้เราเดินตามทางขึ้นไป (อันนี้ก็ต้องจ่ายเงินค่าถามทางอีกเช่นกันค่ะ.. 5555) Dyen Sabai restaurant and bar เป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ที่ตั้งอยู่กลางป่าไผ่ เขาออกแบบการใช้สอยพื้นที่ได้ดีทีเดียวค่ะ ทำลานที่นั่งเป็นชั้นๆตามสโลปเนินเขา เรานั่งทานอาหารกลางวันกันที่นี่ สั่งลาบปลาแบบลาวกับสำรับพื้นเมือง ที่ในเซ็ตมีไส้กรอกรสละม้ายกับไส้อั่ว หมูทอด และน้ำพริกหนุ่ม จิบน้ำผลไม้คั้นสด แล้วสูดอากาศบริสุทธิ์จนชุ่มปอด ก่อนจะไปปั่นชมเมืองต่อ
Wat Xiang Thong คือจุดหมายถัดมา วัดนี้มีขนาดไม่ใหญ่โตแต่เป็นวัดที่มีนักท่องเที่ยวแวะมาเยี่ยมชมมากที่สุดในหลวงพระบาง มีความวิจิตรงดงามคล้ายกับวัดทางเหนือของบ้านเราค่ะ
Climbing the small Phou Si hill, in the middle of town, I could get great views of Luang Prabang and understand why many people fly here to switch off from their busy lives. The feeling is one of harmony and natural beauty: the spirituality of the many temples, the green landscape of lush vegetation, the peaceful and relaxed inhabitants.
บนเนินเขา Phou Si hill เราจะได้เห็นวิวเมืองหลวงพระบางแบบ 360 องศา เห็นความอุดมสมบูรณ์ของป่า ภูเขา และแม่น้ำ เป็นอีกครั้งกับการแลกหยาดเหงื่อแรงกายในการปีนขึ้นบันไดกับวิวสวยๆ และก็ต้องบอกอีกครั้งว่ามันคุ้มกันขนาดไหน จุดชมวิวนี้คือห้ามพลาดจริงๆค่ะ
Just half hour drive out of town, another popular spot are the Kuang Si Falls, a system of waterfalls spread over different levels, which are easy to reach thanks to the forest trail and few wooden walkways. The biggest fall has an impressive 60 meter drop, however what I loved the most was exploring the many ponds of water created by this waterfall. Their aquamarine color was so beautiful that picture cannot do them enough justice.
จากตัวเมืองออกไปไม่ไกล เป็นที่ตั้งของน้ำตกที่สวยเลื่องชื่อ Kuang Si Falls เราเช่ารถตู้จากโรงแรมใช้เวลาเดินทางครึ่งชั่วโมงค่ะ ที่น้ำตกเขาทำทางเดิน ทำสะพานไม้เชื่อม ช่วยให้เดินง่ายไม่ต้องแอดเวนเจอร์เท่าไหร่ น้ำตกสายที่ใหญ่ที่สุดมีความสูงอยู่ที่ 60 เมตรเลยค่ะ แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่เราหลงใหลกลับเป็นแอ่งน้ำรอบๆน้ำตก เนื่องจากน้ำในแอ่งมีสีฟ้าใสเหมือนกับพลอยอควอมารีน เป็นสีสวยตามธรรมชาติแบบที่ไม่เคยเห็นที่น้ำตกไหนมาก่อน กล้าพูดเลยว่าในรูปก็ยังไม่สวยเท่ากับของจริงที่เห็นค่ะ! นอกจากนั้นในบริเวณน้ำตกมีสวนหมีที่เราสามารถรอชมช่วงเวลาให้อาหารหมีน้อยได้ด้วยนะคะ
Luang Prabang is very small and easy to explore in just a couple of days; people, however, tend to come here for longer, it is not the sightseeing they are looking for, but that magical feeling of relaxation and spirituality that few places on Earth have been able to maintain until today.
ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะกับหลวงพระบาง เมืองเล็กๆที่ใครๆต่างก็ตกหลุมรัก ถ้าจะเสียดายคงเพราะที่ไม่ได้อยู่นานกว่านี้ สำหรับเราแล้วหลวงพระบางเป็นเมืองที่เหมาะแก่การพักผ่อน ใช้ชีวิตสงบเรียบง่าย หลีกหนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่ มากกว่าที่จะเป็นเมืองท่องเที่ยวค่ะ นี่ถ้าได้มาใช้ชีวิตอยู่ซักเดือนคงจะดีไม่น้อย…