I believe any adventure should start early in the morning, before the sun rises, to make every minute count and fill my day with exciting discoveries.
Certainly a trip to legendary Machu Picchu should be no different, so it was very early when, with a small backpack on my shoulders, I boarded the Inca Rail train leaving the private station of Urubamba and heading to Machu Picchu.
And I also believe that adventure does not need to be strenuous or exhausting, after all I need my energy to enjoy the moment, so a comfortable carriage slowly moving and with big panoramic windows fit the purpose perfectly.
อรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน ออกหากินร่าเริงแจ่มใส… มันช่างเป็นเช้าที่สดใสเหมือนที่เจ้าขุนทองและผองเพื่อนร่วมกันร้องเพลงปลุกใจสมัยนุ่งคอซองไม่มีผิด ไม่ได้รู้สึกดีกับการตื่นเช้าแบบนี้มานานละ ทันทีที่เสียง alarm ดังขึ้น เราก็เด้งตัวออกจากเตียงแบบอัตโนมัติ ลากกระเป๋าใบเขื่องไปเคาน์เตอร์ check-out อย่างกระฉับกระเฉง แล้วรีบซอยเท้าถี่ไปยังชานชาลารถไฟ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณโรงแรมนั่นเอง รถไฟสายพิเศษนี้มีชื่อเรียกว่า Inca Rail train พอถึงเวลา 6 นาฬิกา 30 นาที รถไฟเส้นทางสายอินคาก็เริ่มเดินเครื่องออกจากสถานีส่วนตัวของโรงแรม Tambo del Inka ไม่รอช้า แวะจอดรับผู้โดยสารในเมือง Urubamba เพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่ทุกคนต่างเฝ้ารอคอย “เมืองสาปสูญแห่งอินคา” Machu Picchu เมืองในฝันสุดพรรณนาของช้าน แค่ไม่กี่อึดใจก็จะได้เจอกันแล้ว
It took us around three hours to reach Machu Picchu Pueblo, a village without much charm built to accommodate the many tourists that visit the famous Inca Citadel, a village isolated from the rest of the World and only accessible by rail, or by multi-day trek along the Inca Trail.
Situated deep in the valley on the banks of a small river, it is where I boarded the public bus that takes you up the mountain to what is the highlight of any traveler in Peru: Machu Picchu.
การเดินทางสามชั่วโมงบนรถไฟไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด นอกจากจะได้ชมวิวสวยของแม่น้ำและภูเขาตลอดทางแล้ว ยังมีการแสดงโชว์จากสต๊าฟเพื่อเรียกเสียงปรบมือเป็นระยะๆ ความน่ารักของพวกเขาทำเอาเรายอมควักกระเป๋าอุดหนุนผ้าคลุมไหล่ที่ทำจากขนเบบี้อัลปาก้าเนื้อนุ่มติดมือกลับบ้าน
รถไฟขบวนพิเศษพาเราข้ามผ่านหุบเขาน้อยใหญ่ มุ่งหน้าไปยังเมือง Machu Picchu Pueblo เมืองชนบทขนาดเล็กที่เข้าถึงได้โดยรถไฟและการเดินเท้าเท่านั้น (แน่นอนว่าเราเลือกรถไฟ) ใครที่ต้องการมามาชูปิกชูต่างต้องมาตั้งหลักที่นี่ จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณและความพึงพอใจว่าจะพักแรมที่ไหน บ้างก็ตั้งแคมป์แล้วเดินขึ้น บ้างก็เลือกพักโรงแรมในเมืองแล้วต่อรถบัสในตอนเช้า แต่ก็มีอีกช้อยส์นึงที่สะดวกสบายกว่านั้น เดี๋ยวจะมาเฉลยทีหลังว่าคืออะไรค่ะ
The ruins of this old city are attracting huge numbers of visitors (around 1.5 millions a year), not just because of its particular beauty, but thanks to the mystery that still surrounds the area and the wonderful lush landscape around. Built probably in the 15th century, it is still unknown the exact purpose of this citadel, other than it was abandoned for many centuries and the Spanish conquerors never knew of its existence.
It was only in 1911 when the American archeologist Hiram Bingham discovered the remains of this exemplary village and made it known to the World. The dry-stone walls are very well conserved and it is very exciting to wonder around the maze of alleys and building, often opening up to awe-inspiring views of the Andes all around.
หลังจากถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1911 โดยนักโบราณคดีชาวอเมริกัน Hiram Bingham โลกต่างตกตะลึงถึงการตั้งอยู่ของซากอารยธรรมอินคาบนเทือกเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 2,350 เมตรแห่งนี้ แปลกที่ไม่มีใครเคยระแคะระคายมาก่อน แม้แต่กองทัพสเปนที่เข้ามาเพื่อล่าอาณานิคมในสมัยนั้น อาจเพราะชาวเปรูและชาวอินคาถูกเข่นฆ่าล้มตายเป็นจำนวนมาก เมืองอินคาแห่งนี้จึงได้ถูกปล่อยทิ้งร้าง
สันนิษฐานว่ามาชูปิกชูถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 จุดประสงค์ไม่แน่ชัด อาจใช้เป็นสถานที่บูชาเทพเจ้าหรือทำพิธีบูชายัญ อย่างไรก็ดีนี่คือการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้ชาวโลกได้เห็นถึงความรุ่งเรืองของจักรวรรดิอินคาในอดีตกาล ปัจจุบันมาชูปิกชูได้รับการบันทึกให้เป็นมรดกโลก และคือหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ซึ่งในปีหนึ่งๆมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมถึง 1.5 ล้านคนเลยทีเดียว
As I mentioned though, it would be clever to do some planning to avoid the peak of tourist arrivals, which often come here for a day trip or make trips from the village at the bottom. The best solution is to splurge and spend a night at the Belmond Sanctuary Lodge, located in a former government building right at the entrance, and allowing its guests to be the first through the gates early in the morning, or the last to leave the citadel at sunset.
While not exactly a luxurious hotel like others in the chain, the service provided is second to none and the dinner and pisco tasting at the cosy restaurants were the perfect end to an exciting day.
ดั้นด้นมาไกลถึงหุบเขาของชาวเผ่าอินคา เราจะไม่ยอมเสียโอกาสที่จะได้ชื่นชมและใช้เวลากับมันอย่างเต็มที่ที่สุด ดังนั้นช้อยส์พิเศษที่เราเลือกก็คือ โรงแรมหนึ่งเดียวในโลกหล้าซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้ามาชูปิกชู (เอาซี้!!!) งานนี้คุณสามีเห็นดีเห็นงามด้วยและยอมควักกระเป๋าจ่ายแต่โดยดี Belmond Sanctuary Lodge ถูกดัดแปลงมาจากอาคารทำการของรัฐเก่า เลยอาจจะไม่ได้ดูหรูหราหมาเห่าเหมือนกับ Belmond สาขาอื่นๆ ที่นี่เป็นโรงแรมแบบฟูลบอร์ด (รวมอาหาร 3 มื้อ กิจกรรม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด) ในสนนราคาประมาณ $1,000 ต่อคืน ห้องพักของเรามีเทอเรสด้านนอกเชื่อมต่อกับสนามหญ้า ที่นั่งจิบเบียร์สุดชิลล์ของคุณสา ส่วนเราชอบไปเดินเล่นที่สวนกล้วยไม้ ตรงนั้นจะมีนกฮัมมิงเบิร์ดตัวจิ๋วแวะมาจิบน้ำอยู่บ่อยๆ การจะถ่ายรูปพวกนางค่อนข้างลำบาก นกอะไรขยับปีกยุกยิกตลอดแถมเคลื่อนที่เร็วมากยังกะหายตัวได้ (ป้าเพลียค่ะ)
ช่วงบ่ายหลังจากเช็คอินเรารีบไปจอยกับฝูงชนเพื่อเข้าชมมาชูปิกชู วันนั้นมีฝนตกปรอยๆและมีหมอกบางๆ เราอยู่กันจนถึงเวลาประตูปิด 5 โมงเย็น ขณะนั้นนักท่องเที่ยวต่างทะยอยเดินออกเพื่อจับรถบัสกลับลงไปที่เมือง ข้อดีของการพักที่ Belmond ทำให้เราไม่ต้องรีบไปไหน ได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ที่สำคัญถ่ายรูปได้แบบสะใจมากๆๆๆ
กลับโรงแรมมาอาบน้ำแต่งตัว เย็นนั้นทางโรงแรมมีกิจกรรม Pisco tasting หรือการชิมเหล้าพื้นเมือง Pisco sour คือค็อกเทลสุดโปรดอยู่แล้ว สองสามีภรรยานั่งชิมวนไปพร้อมบอกบาร์เทนเดอร์ว่าชงมาได้เรื่อยๆ เราไม่เหนื่อย เราไม่เมื่อย 5555 พอถึงหนึ่งทุ่มเป็นเวลาดินเนอร์ เราเตี๊ยมกับทางโรงแรมไว้ว่าเนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดคุณสา ขอเป็นเค้กหรืออะไรก็ได้เล็กๆมาเซอร์ไพรส์ให้หน่อย ไอ่เราก็ลืมไปว่ากำลังคุยอยู่กับใคร นี่ระดับ Belmond นาจา นอกจากเค้กจะก้อนใหญ่แล้ว ก่อนยกมานางปิดไฟทั้งห้องอาหารแล้วพากันมายืนล้อมโต๊ะร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ทู้ยูววว์จ้าาา งานนี้คนรีเควสเองยังเซอร์ไพรส์เอง ลูกค้าในห้องอาหารก็แค่ 30-40 คนเอง ที่หยุดทานแล้วหันมาช่วยกันปรบมือร้องเพลง / รู้สึกเหมือนได้รับรางวัลออสก้าร์
The following morning we entered the gates very early to enjoy the spirituality of Machu Picchu as the sun was rising higher and higher in the sky, to then proceed to climb Huayna Picchu, the tall mountains that you often see as a background in most pictures.
At first glance it seemed impossible for me to climb it, but with motivation and a lot of water in my backpack, it took me around one hour to complete the trail (and many steps) to the top. The view from there is second to none, and I strongly recommend anybody fit enough to book a ticket in advance (spaces are limited) and enjoy the best views of Machu Picchu you could ever dream of.
เช้าถัดมาเรารีบตื่นและวิ่งปรู๊ดไปรอหน้าประตูทางเข้ามาชูปิกชูเป็นคิวแรกๆ พนักงานที่นี่จะหยุดทักคุณสาทุกครั้งที่เห็นในใบผ่านว่าเป็นคนอิตาลี “อินเตอร์? ยูเว่?” นี่คือคำทักทายภาษาท้องถิ่น? เปล่าจ้า หนุ่มๆเขาแซวกันประมาณว่ายูเชียร์บอลทีมไหน ส่วนหญิงไทยผู้บอบบางอย่างเราก็เฉาไป แถวนี้ไม่มีใครรู้จักเมืองทองยูไนเต็ดสินะ
มาชูปิกชูเป็นของเรา!!! ชั่วโมงนี้คนน้อยมากถึงมากที่สุด เราเริ่มดีด วิ่งพล่านไปทั่วเหมือนในหนังอินเดีย “มาไล่จับฉันสิที่รัก” แน่นอนว่าพระเอกจะไม่มีทางหยุดฉันได้เพราะฉันหลบเก่ง โยคะท่าบูชาพระอาทิตย์แบบบิดๆเบี้ยวๆก็มา สายตาก็สอดส่ายมองหาแก๊งตัวลามะที่เจอเมื่อวาน แต่ที่เห็นคือกองอุจจาระสดใหม่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า แต่ทว่า.. ชั่วโมงนี้อะไรๆก็ดีไปหมด มันคือความสุขล้นๆมากๆจริงๆ อันที่จริงเป้าหมายของวันนี้ไม่ใช่แค่การมาเล่นบทนางเอกหนังแขกหรือฤาษีดัดตน แต่เราต้องแกร่งอย่าง Lara Croft! ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงค่ะ คุณสาผู้อยากให้เมียฟิตจองตั๋วสำหรับปีนเขา Huayna Picchu ภูเขาสูงที่มักจะปรากฎเป็นฉากหลังของมาชูปิกชูเอาไว้ ทีก็แรกเกือบจะถอดใจค่ะ นอกจากอ๊อกซิเจนในอากาศบนเขาสูงที่น้อยนิด ทางเดินขึ้นเขายังชันและสเต็ปบันไดเล็กมาก (สงสัยหนักมากว่าเท้าชาวอินคาเล็กกว่าเท้าอิชั้น??) สุดท้ายด้วยความอึด ถึก หรืออะไรไม่ทราบ ฉันก็ทำมันได้! ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงถ้วนขึ้นไปถึงยอดเขา วิวจากบนนั้นมันฟินเหลือเกินค่ะพ่อแม่พี่น้อง รู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ โมเม้นต์นั้นอยากให้ใครก็ได้ช่วยส่งแก้วแชมเปญดอมเปริยองมาให้ที ใครที่ชอบแอดเวนเจอร์แนะนำว่าห้ามพลาดและต้องจองล่วงหน้านะคะ เพราะตั๋วผ่านมีจำนวนจำกัดต่อวัน (น่าจะแค่ 200 คนถ้าจำไม่ผิด)
We managed to get back to the hotel just as most tourists were still arriving, in time for a shower and a cold beer before heading back down toward the village of Machu Picchu Pueblo. As I was having lunch on the river, waiting for the departure of my train back to Urubamba, I realized how much I learn, discovered and experienced in just two days. While tired, I was full of energy and excitement to visit my next city, Peru is really an amazing place just waiting to be discovered.
ซัก 8-9 โมงเช้าเราก็เสร็จภารกิจ ในขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่เริ่มทะยอยเดินเข้ามา เราเดินสวนออกไปด้วยท่าทีกระหยิ่มและหน้าที่เชิดซะจนคอเกือบเคล็ด เหมือนเป็นการประกาศศักดาให้รู้ว่าฉันนี่แหละคือผู้ชนะแคมเปญนี้ “อุ้ย เพิ่งมาถึงกันเหรอคะ นี่แบบ.. ไปปีนเขาเสร็จไปถึงไหนต่อไหนแล้วอ่ะค่ะ” (ใส่จริตคุณแพร วทานิกา)
ระหว่างรอรถไฟกลับไปที่เมืองอูรูบัมบาอีกครั้ง เรามีเวลาเดินเล่นดูเมือง Machu Picchu Pueblo พอหอมปากหอมคอ และได้นั่งทานอาหารเที่ยงริมแม่น้ำ เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจพิชิตดินแดนสาปสูญในฝัน ทั้งสวย ทั้งอึ้งทึ่งเสียว ทั้งสนุก ครบรส เป็นอีกหนึ่งทริปแห่งความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตของเราเลยล่ะค่ะ แต่ทริปเปรูยังไม่จบเท่านี้นะคะ บล็อกหน้าเราจะพาไปเยี่ยมชมเมืองหลวงเก่าของจักรวรรดิอินคา ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวลึกลับน่าค้นหาอีกเช่นเคย