At the start of June summer is just about beginning in my home town near Venice, but since I could not wait any longer to enjoy some warmer climate, I jumped onto a flight from my local airport and flew to Puglia, the south-eastern region considered the “Heel of the Boot” , given the unique shape of the Italian peninsula on the map.
We choose to visit the southern part of this long region, famous for its beaches, good food and great history, having been for many centuries at the crossroad between Roman and Greek ancient civilizations.
ภาพแรกที่ลอยเข้ามาในหัวเมื่อพูดถึงประเทศอิตาลี คือรูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์เหมือนกับ “รองเท้าบู๊ท” บนแผนที่โลก เรียกได้ว่าเห็นปุ๊บรู้ทันทีว่าตรงนี้แหละคือดินแดนแห่งสปาเก็ตตี้คาร์โบนาร่า และที่จะขาดไปเสียไม่ได้สำหรับรองเท้าบู๊ทคู่นี้คือส่วนของแคว้น Puglia หรือส้นของรองเท้าบู๊ทนั่นเอง!
Puglia หรือ Apulia ในภาษาท้องถิ่น คือแคว้นรูปร่างยาวเป็นแหลมยื่นออกไปในทะเลทางใต้ของประเทศอิตาลี แน่นอนว่าที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องชายหาดสวยและอาหารอร่อย (อันที่จริงอาหารอิตาลีก็อร่อยแทบจะทุกที่อยู่แล้วแหละ) ความพิเศษของแคว้นนี้อยู่ที่การหลอมรวมผสมผสานของวัฒนธรรมจากสองอาณาจักรผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตกาลอย่างกรีกและโรมัน
Protected by big stone walls, and accessible through a wooden gate, the inner courtyard of Masseria Trapaná was enough to make me feel as I stepped into another time. The property was beautifully decorated, yet respectful of the original design; the lemon and orange garden was probably my favourite spot, having breakfast there is certainly the best way to start any day.
The swimming pool at the back was always peaceful and relaxing, given that less than ten rooms are available at this property, so never crowded. A great way to cool myself down after a sunny day, before heading to the veranda to enjoy the great food and wine on offer.
ที่พักของเราอยู่ทางตอนเหนือของเมือง Lecce เจ้าของโรงแรมเป็นสถาปนิกชาวออสเตรเลียที่หลงใหลในมนต์เสน่ห์ของชีวิตแสนสุขแบบ la dolce vita ที่อิตาลี เขาเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าภูมิใจว่าเขาใช้เวลาถึงสี่ปีในการเนรมิตบ้านฟาร์มเก่าทรุดโทรมหลังนี้ให้กลายมาเป็นโรงแรมในฝัน เราเชื่อว่าความตั้งใจของเขาไม่ได้สูญเปล่า เพราะเพียงก้าวแรกที่ก้าวข้ามผ่านกำแพงหินขนาดใหญ่เข้าไปที่ Masseria Trapaná ก็รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง ตรงหน้าคือตึกสองชั้นทำจากกำแพงอิฐสีหินปูน ประกอบด้วยประตูและหน้าต่างดีไซน์โค้งมน ส่วนภายในนั้นถูกตกแต่งแบบบีชเฮ้าส์ซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นอายเมดิเตอร์เรเนียน ทุกอย่างดูเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความพิถีพิถัน
โรงแรมนี้มีแมวสองสามตัวเป็นเจ้าถิ่น พวกมันชอบมาเดินป้วนเปี้ยนแถวล๊อบบี้ตอนช่วงเวลาอาหารเช้า และจับจองโซฟาเพื่องีบยามบ่าย สวนส้มและมะนาวที่ด้านหลังอาคารช่วยสร้างความร่มรื่นให้สระว่ายน้ำและห้องอาหาร แถมผลสีเหลืองๆส้มๆและกลิ่นซีตรัสหอมอ่อนๆยังทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาและช่วยเจริญอาหารอีกด้วย ที่ใต้ต้นไม้มีเปลผูกไว้ให้แขกนอนเล่นในสวนได้ตามอัธยาศัย ใกล้ๆกันมีสวนกระบองเพชรที่ออกดอกสวยงาม มีอยู่วันหนึ่งหลังทานมื้อค่ำเสร็จระหว่างทางเดินกลับห้องพัก เราได้เจอเข้ากับเม่นน้อย (ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งได้เจอเม่นตัวเป็นๆครั้งแรก) หน้าตามันน่ารักน่าชังทีเดียว ถ้าไม่คิดถึงหนามเป็นร้อยๆรอบตัว พนักงานบอกว่าเป็นเม่นแม่-ลูกที่อาศัยอยู่ในสวนของโรงแรมแห่งนี้
Possibly because of the beautiful Roman amphitheatre, the obelisk or the many Osteria that serve traditional food to locals and tourists, very much like some neighborhoods in the Italian capital.
จากที่พักขับรถเพียง 15 นาทีก็มาถึงเมือง Lecce เมืองสวยรวยอารยธรรมที่ได้ฉายานามว่า “Florence of the South” เพราะเป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรมแบบ Baroque โดดเด่นเหมือนกับฟลอเรนซ์ แต่ทว่าเรากลับรู้สึกว่าบรรยากาศโดยรวมออกจะละม้ายคล้ายเมืองโรมซะมากกว่า อาจเพราะมีซากปรักของอารีน่าแถมยังเต็มไปด้วยร้านอาหารสไตล์ Osteria ที่ขายอาหารพื้นเมืองในบรรยากาศง่ายๆสไตล์ชาวโรมัน
The port town of Otranto is a picturesque fortress facing the Mediterranean. Its alleys are full of bars and restaurants, offering mostly seafood based dishes, while the harbour has an incredible shade of blue, the perfect spot to take a few pictures.
ขับต่อลงไปทางใต้เรื่อยๆจนไปถึงจุดที่เป็นแหลมของส้นรองเท้าบู๊ทซึ่งอยู่ในแคว้น Salento เราแวะเที่ยวชมเมือง Otranto เมืองป้อมปราการชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เต็มไปด้วยตรอกซอยเล็กๆ ที่นี่เราได้กินอาหารโปรดและเป็นเมนูขึ้นชื่อของท้องถิ่น นั่นก็คือ “ไข่หอยเม่น” เขาทำเป็นซอสหวานๆมันๆแล้วเอามาผัดกับสปาเก็ตตี้เส้นกรุบ อร่อยเหาะจนต้องร้องอุทานว่า Mamma mia!
เลียบชายฝั่งเดียวกันเป็นที่ตั้งของ Grotta della Poesia หรือ Cave of Poetry หนึ่งใน World’s most beautiful natural pool ธรรมชาติคือผู้เนรมิตถ้ำหินและแอ่งรูปร่างเหมือนสระน้ำแห่งนี้ ส่วนชื่อ Grotta della Poesia นั้น มีตำนานเล่าว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเจ้าหญิงผู้เลอโฉมองค์หนึ่งได้มาว่ายน้ำเล่นในสระนี้ เรื่องนี้ได้ถูกเล่าขานต่อๆไป จนไปถึงหูของเหล่านักกวี พวกเขาจึงตามมาที่สระน้ำแห่งนี้เพื่อเขียนกวีถึงเจ้าหญิงงามในจินตนาการ บ้างก็ว่าแท้จริงแล้วชื่อมีที่มาจากคำว่า Posia ซึ่งเป็นภาษากรีกโบราณที่มีความหมายว่า Fresh spring water หรือน้ำสะอาดที่ดื่มได้นั่นเอง แต่ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นมาอย่างไร สระน้ำสีเขียวมรกตแห่งนี้สวยสะกดใจสมกับที่ดั้นด้นมาจริงๆ
Those very particular buildings with white walls and a conical roof made by flat stones are nowadays used mostly to host shops selling to the many tourists coming here every day. Despite the touristy feel, it is remarkable how this area containing so many of those buildings one next to each other has been preserved during the centuries, and while there are a few examples scattered around the regions, Alberobello is the only place where a whole neighborhood is still preserved perfectly.
และแล้วก็มาถึงหนึ่งใน bucket list ที่ชีวิตนี้อยากจะมาเห็นซักครั้ง หมู่บ้าน “trulli” หรือบ้านหลังคาทรงดินสอฉาบผนังสีขาว ณ เมืองยูเนสโก้ Alberobello บ้านหลังคาทรงดินสอนี้เป็นบ้านทรงเก่าแก่ดั้งเดิมของชนพื้นเมืองซึ่งจะกระจายอยู่ทั่วแคว้น แต่เป็นย่านนี้ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ที่หลังคาจะมีการเพ้นท์สัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์ตามความเชื่อโบราณ ซึ่งในปัจจุบันมีการดัดแปลงไปบ้างเพื่อเอาใจนักท่องเที่ยว เช่น รูปหัวใจหรือคิวปิด ถึงย่านนี้จะกลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยร้านค้าขายของ แต่เรายังคงสัมผัสได้ถึงเสน่ห์และความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ที่สำคัญถ่ายรูปสวยทุกมุมค่ะ
It is in the inner garden of La Sommitá Relais, a Relais & Chateaux property hidden within the maze of Ostuni, that I enjoyed my best lunch of the trip. Il Cielo restaurant enjoys a very impressive location and a talented chef, being awarded a Michelin star for its creations. My favourite dish was Patanegra with sea urchin sauce, a unique combination of two best ingredients, the pairing with local red wine Negroamaro (literally ‘Black bitter’) made the meal even more special.
Despite its popularity Puglia still holds hidden gems and beautiful sceneries that are worth discovering, I am glad I have found a few places I can visit for relaxing time whenever I will be back in this area.
และที่เมืองนี้เองคุณสามีได้จองมื้อกลางวันสุดพิเศษเอาไว้ที่ร้าน Il Cielo ร้านอาหารหนึ่งดาวมิชลินอยู่ในโรงแรม La Sommitá Relais ในเครือของ Relais & Chateaux (กว่าจะเดินหาโรงแรมเจอก็เล่นเอาหลงไปหลายแยกอยู่) โต๊ะของเราตั้งอยู่ที่สวนด้านนอกติดกับสระว่ายน้ำ ใกล้ๆกันมีบันไดสำหรับเดินขึ้นไปชมวิวที่ดาดฟ้า ความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้งเมื่ออาหารถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้า เริ่มต้นด้วย beef tartare and foie gras (เนื้อดิบสับผสมตับห่าน) ต่อด้วย astrice in broth (ล๊อบสเตอร์ในน้ำซุปใส) และปิดท้ายด้วย patanegra with sea urchin sauce (หมูดำราดด้วยซอสไข่หอยเม่นหยาดเยิ้ม) จานเด็ดที่เรายกให้เป็นสุดยอด แถมยังได้ Negroamaro ไวน์แดงรสเลิศของพื้นเมืองมาช่วยเพิ่มรสชาติทำให้มื้ออาหารนั้นกลมกล่อมสมบูรณ์แบบขึ้นไปอีก
ถ้าให้สรุปสั้นๆถึงส้นรองบู๊ทของอิตาลีแคว้นนี้ คงต้องบอกว่า Puglia นั้นครบเครื่องจริงๆ ไม่ว่าจะเรื่องอาหารการกิน อารยธรรม และภูมิประเทศที่งดงาม เป็นอีกหนึ่งเพชรเม็ดงามของทะเลทางใต้อิตาลีที่ปล่อยผ่านไม่ได้อย่างเด็ดขาดค่ะ