My first day in Helsinki was spent trying to chase my lost baggage and running around shops to buy some warm clothes before my adventure to the Arctic Circle: not exactly how I planned to start my trip to Lapland.
With all the travels I did this was probably the worst time for any airline to loose my bag, heading to the subzero temperatures of Lapland with nothing but the clothes I was wearing was a pretty chilling prospect, excuse the pun!
จากเวนิสไป Lapland เราต้องเปลี่ยนเครื่องถึง 2 ต่อ ต่อแรก transit ที่อัมสเตอร์ดัม และแวะมานอนหนึ่งคืนที่เฮลซิงกิ ก่อนจะจับไฟล์ทเช้าวันถัดไปเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางเมือง Ivalo แค่เดินทางก็เหนื่อยแล้วยังต้องมาเจอฝันร้ายเมื่อสายการบิน KLM ทำกระเป๋าเราหายระหว่างทางมาเฮลซิงกิ
บ่ายนั้นเราจึงวุ่นอยู่กับการติดตามกระเป๋าและเดินหาซื้อของใช้จำเป็น ถ้ากระเป๋าหายไปจริงๆคงจะขำไม่ออก เพราะเรากำลังมุ่งหน้าไปยังดินแดนใน Arctic Circle ที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์!!!
Nevertheless, I boarded the northbound flight the following morning with some hope and great sense of adventure, which luckily was met upon landing by a message from KLM that my bag was finally found an soon to be on its way to Finland.
The little airport of Ivalo is the northernmost commercial airport in the whole European Union, so at the end of the winter season it was no surprise the surroundings were all covered by a layer of snow. The roads as well were pretty much white covered, and all cars supplied with winter kit, that included special tyre and a brush to scrap your frozen windshield.
วิวระหว่างทางไป Lapland เป็นสีขาวโพลน แม่น้ำทุกสายกลายเป็นธารน้ำแข็ง เมืองและภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ทันทีที่ลงเครื่องก็ได้รับเมสเสจจาก KLM ว่ากระเป๋าเราตกหล่นอยู่ที่อัมสเตอร์ดัมและจะจัดการส่งถึงโรงแรมที่ Ivalo บ่ายวันถัดไป ดีใจที่เจอกระเป๋า แต่ไม่แฮปปี้นักกับการจัดการที่ล่าช้า ใช้เวลาถึง 48 ชั่วโมงกว่ากระเป๋าจะมาถึงทั้งๆที่น่าจะทำได้ดีกว่านั้น ดูเหมือนว่าสายการบินนี้และสนามบินอัมสเตอร์ดัมขึ้นชื่อมากเรื่องการทำกระเป๋าตกหล่น ขนาดพนักงานโรงแรมที่เฮลซิงกิยังบอกเลยว่าเพื่อนๆทุกคนเลี่ยงไฟล์ทไปเปลี่ยนเครื่องที่นั่น แหม่ เสียดายที่รู้ช้าไป!
สนามบิน Ivalo ถือเป็นสนามบินที่อยู่ตอนเหนือสุดของประเทศในเครือสหภาพยุโรป (EU) และอยู่ในเขต Arctic circle เรื่องความหนาวเย็นคงไม่ต้องพูดถึง การขับรถบนถนนที่เต็มไปด้วยหิมะแบบนี้ จึงต้องมีอุปกรณ์เสริมสำหรับรถ สังเกตุเห็นที่ล้อรถเป็นล้อแบบพิเศษมีตุ่มเล็กๆสีเงินอยู่ทั่ว และในรถยังมีแปรงสำหรับปัดกวาดหิมะวางเตรียมไว้ให้ด้วย
Our lodge Guesthouse Husky was located just out of town, a remote guesthouse run by a local couple, the lady looking after the accommodation side of the business while the husband runs the annexed husky farm, with around 140 lovely dogs.
After a quick stop in town to buy some local products at the supermarket, we were back for the early dinner at six o’clock, a very early time but common in this area.
ออกจากสนามบินตอนบ่ายสอง เราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์ในเมือง และถือโอกาสทานอาหารกลางวันที่คาเฟ่ที่อยู่ติดกัน ด้วยเป็นมื้อแรกเลยประเดิมเอาฤกษ์เอาชัยด้วยเบอร์เกอร์กวางเรนเดียร์ อร่อยใช้ได้และไม่มีกลิ่นสาปเลยค่ะ สั่งมาแบ่งกันทานสองคนเพราะมื้อเย็นต้องเริ่มตอนหกโมง ค่อนข้างเร็วสำหรับชาวยุโรปแถบเมดิเตอร์เรเนียนที่ปกติทานกันสอง-สามทุ่ม แต่ถือเป็นเวลาปกติของชาวสแกนดิเนเวียเขาค่ะ
เราพักสองคืนที่ Guesthouse Husky บ้านไม้สามชั้นขนาดกะทัดรัดสไตล์ Lappish ของสองสามี-ภรรยาชาวพื้นเมือง คุณภรรยามีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของที่พักอาศัยและอาหารการกิน ส่วนคุณสามีดูแลฟาร์มหมาฮัสกี้ที่มีถึง 140 กว่าตัว ซึ่งแต่เริ่มเดิมทีเป็นธุรกิจหลักของครอบครัว
Our room on second floor was clean and quite spacious, decorated in Lappish style. Moreover, it was so warm inside despite the fact that it was a wooden lodge. The husky farm was just next door, so you could hear what was going on there during the day, the noise did not bother us much though.
The food is served to the guests in the main dining area, home-cooked Finnish food which is hardly exciting but tasty and generous. The funniest thing is that as we arrived the only couple already sat at the table was from Thailand as well, what a coincidence. They happened to be some kind of Polar enthusiasts, and they shared some tips and ideas on how to photograph the Northern Lights, if we were ever lucky enough to witness this magical phenomena.
ห้องพักของเราอยู่ชั้นสอง เป็นห้องกว้างและสะอาดสะอ้านมาก ไม่น่าเชื่อว่าบ้านไม้จะกันลมหนาวจากด้านนอกได้ดีขนาดนี้ จากหน้าต่างมองเห็นฟาร์มหมาฮัสกี้ที่อยู่ข้างๆด้วยค่ะ ความที่อยู่ใกล้เราจะได้ยินเสียงเห่าหอนของพวกมันเป็นระยะๆ แต่ก็อยู่ในระดับที่ไม่ได้เป็นการรบกวนอะไร
หกโมงตรงเป๊งเราก็เดินลงมาที่ห้องอาหาร ที่อัศจรรย์คืออีกคู่ที่นั่งรออยู่ก่อนนั้นเป็นคนไทยค่ะ มาไกลถึงเมืองหนาวขั้วโลกกลับได้เจอคนบ้านเดียวกันซะอย่างนั้น งานเม้าท์มอยต้องมาค่ะ! และต้องขอบคุณทั้งคู่มากๆเลยนะคะ ที่ทั้งช่วยตั้งค่ากล้องให้แล้วยังให้ยืมขาตั้งกล้องด้วย คู่เรามาแบบลูกทุ่งมากไม่มีอะไรพร้อมเล้ยยย นี่กะมาดูแสงเหนือด้วยตาเปล่าสินะ พูดแล้วก็ละอายแก่ใจจริงๆ
อาหารเย็นมื้อแรกที่ Lapland ต้องบอกว่าประทับใจมาก อาหารรสชาติถูกปาก ทำเสิร์ฟร้อนๆ ในบรรยากาศอบอุ่นเหมือนบ้าน ขนาดว่าเพิ่งอิ่มจากเบอร์เกอร์มาไม่นานเรายังกินซะเกลี้ยงทุกจาน ชอบทุกอย่างโดยเฉพาะไอศครีมราดซอสคาราเมลกับเบอร์รี่สด อ้อ เขามีครัวเล็กๆไว้ให้คนที่ต้องการทำอาหารทานเองด้วยค่ะ
Back to our room, my husband kept checking some website for Aurora hunters to keep an eye on the probability. As soon as it got dark, we went outside and managed to see a glimpse of this beautiful natural show, it does take patience and a solid tripod to capture it in the picture, but I felt the bad luck of the previous day was finally going away.
Later on, as we were almost getting ready to sleep, we decided to give it a last try and went out in the cold night to take another couple of pictures.
กลับมาเตรียมตัวที่ห้อง คุณสามีนั่งสาละวนกับการเช็คตามเวปไซต์แสงเหนือทั้งหลาย เห็นว่าคืนนี้มีลุ้นอยู่เพราะประเมินค่าแสงอยู่ที่ระดับ KP5 ถ้าอากาศดีฟ้าเปิดมีโอกาสเห็นแน่นอน ประมาณสองทุ่มเราก็เดินออกมาด้านนอก เจอแขกของโรงแรมอีก 2-3 กลุ่ม กำลังตั้งกล้องพยายามถ่ายแสงสีเขียวจางๆที่เริ่มเคลื่อนไหว เมฆยังค่อนข้างเยอะแสงจึงดูฟุ้งกระจายและแทบจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น อาศัยศักยภาพของกล้องจึงพอได้ภาพที่ค่อนข้างน่าพอใจ ซักพักทุกคนก็ทะยอยเดินกลับเข้าห้องเนื่องจากทนความหนาวไม่ไหว
Camera in hand, I went outside, and after looking past the line of trees, I was literally left speechless! The Aurora was really powerful now, you could clearly see the green colors and it was so active I really felt like we were given a dance show by Mother Nature. My husband and I were the only people outdoor, in the middle of the freezing night, but this was certainly one of the most amazing moments of my life, which pictures could hardly describe.
The Aurora websites were now reporting storm level activity G-2 (KP6.33), an event that is not so common, my good luck did certainly make a powerful comeback!
ประมาณสี่ทุ่มขณะที่อยู่ในชุดนอนกันทั้งคู่ คุณสามีนึกยังไงไม่รู้บอกขอออกไปเช็คดูด้านนอกอีกครั้ง ซึ่ง ณ เวลานั้นไม่มีใครอยู่แล้ว ซักพักนางวิ่งหน้าตื่นกลับมาเรียกให้เราออกไปดูโดยด่วน นาทีนั้นเปลี่ยนชุดอย่างไวใส่เกียร์ร้อย คราวนี้ท้องฟ้าเปิด ไร้เมฆ ทำให้เห็นความงามของออโรร่าแบบชัดๆเต็มสองตา!! กลุ่มแสงสีเขียวก้อนใหญ่ค่อยๆขยับขึ้นมาจากทางป่าสน และเคลื่อนตัวราวกับเต้นระบำข้ามผ่านมาที่อีกฟากฝั่ง ตลอดเวลาที่เคลื่อนที่มันเปลี่ยนรูปเปลี่ยนฟอร์มอย่างรวดเร็ว หลายจังหวะที่มัวแต่มองเพลินจนลืมกดชัตเตอร์ ถือเป็นโชว์จากธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ในที่สุดโชคก็กลับมาเข้าข้างบ้างแล้วสินะ!
The following day I was still excited by the events of the night, but a cloudy and snowy sky was not a good preclude for another Aurora night. Not a problem since we planned a four hour husky safari, and the grey sky would add some atmosphere for this typical winter activity.
Under the guidance of the owner, an experience husky racer, I shared a sleigh with my husband, and led by six beautiful and hard working dogs, we set off exploring the area in this unique and enjoyable way.
เช้าอีกวันยังคงตื่นเต้นไม่หาย ได้เห็นมันแล้วจริงๆ เจ้าแสงเหนือที่ทุกคนตามล่ามาจัดโชว์ต้อนรับเราอย่างยิ่งใหญ่ถึงหน้าที่พักตั้งแต่คืนแรก ช่วงดึกที่เราเห็นนั้นความแรงของมันพีคขึ้นถึง KP6.33 หรือระดับ Storm level G-2 ซึ่งไม่ได้เกิดกันง่ายๆ ขอบคุณสวรรค์ที่ยังเมตตาข้าน้อยผู้เดินทางมาไกลโดยไม่มีสิ่งของอันใดนอกจากชุดหนึ่งชุดและกล้องถ่ายรูป
โปรแกรมทัวร์วันนี้คือซาฟารีท่องป่าบนรถลากกับหมาฮัสกี้ (husky sleigh) หิมะที่ตกปรอยๆตลอดวันช่วยสร้างบรรยากาศแอดเวนเจอร์ลุยป่าหิมะให้สมจริงเข้าไปอีก ก่อนอื่นเจ้าของจะทำการเลือกหมาจากฟาร์ม คู่เราและคนไทยอีกคู่ได้เข้าไปดูการเตรียมตัวนี้ด้วย เขาใช้หมาหกตัวต่อรถลากหนึ่งคัน ทุกตัวในฟาร์มต่างดู alert วิ่งพล่านไปทั่วพลางส่งเสียงเห่าดังเหมือนกับจะบอกให้ “เลือกฉันสิเจ้านาย!” พอได้ตัวครบก็จัดแจงใส่ปลอกคอเชื่อมต่อกับรถลากเตรียมพร้อมออกเดินทาง เจ้าตัวที่ไม่ได้ถูกเลือกต่างทำหน้าจ๋อยส่งเสียงครางหงิงๆ แสดงออกถึงความน้อยอกน้อยใจแบบเห็นได้ชัด
Taking turns to “drive the sleigh”, which basically means standing at the back ready to operate the brakes while balancing the weight in the corners, we travelled over 30 kilometers that day, with a stop half way to enjoy lunch.
With the Thai couple as the only other guests, it felt a very intimate experience; the lunch was cooked in a tent, over a fire, while the snow was falling outside. The dogs were enjoying a well deserved rest and there was absolutely no noise all around. I really felt immersed in nature, what a fantastic feeling.
Back to our guesthouse and my luggage was there waiting for me, finally delivered all the way from Amsterdam to Helsinki and then to the Arctic Circle, I was so happy to reunite again with it.
แต่ละคู่จะผลัดกันนั่งผลัดกันบังคับรถลาก วิธีบังคับรถก็ไม่ยากอะไร แค่คอยแตะเบรกกับช่วยเข็นขึ้นเนินในบางครั้ง เพราะเจ้าพวกฮัสกี้ต่างชำนาญเส้นทางดีอยู่แล้ว เป็นทริปซาฟารีสี่ชั่วโมงรวมเวลาพักทานอาหารกลางวันที่เต้นท์กลางป่า หลายคนคงคิดว่าเจ้าหมาพวกนี้คงเหนื่อยน่าดู แต่เราขอคอนเฟิร์มตรงนี้เลยว่าพวกมันมีพลังมหาศาลและอยากวิ่งสู้ฟัดตลอดเวลาค่ะ ทุกครั้งที่เราแตะเบรกมันจะหันมาทำหน้าค้อนพร้อมส่งสายตาขุ่นเคือง ขนาดพักทานอาหารไม่นาน มันยังมาเห่าเรียกโวยวายว่าเมื่อไหร่จะไปต่อซะที (เอากะเค้าซี่!)
ธรรมชาติสองข้างทางสวยสงบมาก เหมือนมีแค่พวกเราห้าคนกับฮัสกี้จอมพลัง 18 ตัวกลางป่าหิมะขาวโพลน ระหว่างทางเจอเข้ากับฝูงเรนเดียร์ด้วยค่ะ จุดแวะพักสำหรับทานอาหารกลางวันเป็นเต้นท์กระโจมเล็กๆที่มีกองฟืนตรงกลาง ด้านในน่าจะนั่งได้ประมาณสิบคน เจ้าของฟาร์มหยิบของที่เตรียมออกมาจากเป้ ก่อกองไฟ แล้วเขาก็เริ่มฉีกซองนู้นใส่ซองนี้ลงในหม้อ ปรุงออกมาเป็นซุปผักและไส้กรอกกลิ่นหอมหวนชวนชิม ส่วนอีกสองกาเป็นกาแฟและชา ชอบบรรยากาศตอนนี้มากเลยค่ะ เหมือนกำลังแคมปิ้งอยู่ในป่าจริงๆ
The area of Ivalo is pretty remote so we only planned two nights here, next day we would travel four or five hours further south to the busier town of Levi.
Having seen an awe-inspiring Northern Light display and enjoyed an husky safari in the snow-covered landscape I felt my dreams had come true. The only outstanding box to be ticked would be waiting at my next destination: sleeping in a glass igloo!
สองคืนที่เมืองเล็กๆอย่าง Ivalo กลับมีความทรงจำดีๆเกิดขึ้นมากมาย ทั้งหนึ่งในฝันที่เป็นจริงกับการเห็นแสงเหนือ และนั่งรถลากบนหิมะชมป่ากับหมาฮัสกี้ สถานีต่อไปต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งฝันที่เรากำลังจะตามล่า เลเวลความตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าครั้งก่อน และต้องขับรถฝ่าหิมะจากนี่ไปอีก 4-5 ชั่วโมง ไม่รู้ว่า การได้นอนในบ้าน igloo จะเลิศหรูเหมือนกับที่จินตนาการไว้รึเปล่านะ?!