At the end of our honeymoon trip, on our way back home, we choose to spend a night in Johannesburg to avoid a very tight and stressful connection.
We heard mixed reviews about this city, there are certainly some interesting sights, but due to the massive size of this metropolis and the security concerns we decided not to go out and explore, but rather to spend a relaxing evening to collect our memories of South Africa and rest before our long flight home the next day.
ออกมาจากป่าเตรียมตัวกลับบ้านที่อิตาลี ไหนๆก็ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ Johannesburg (หรือที่ชาวเมืองเรียกย่อๆว่า “Joburg”) อยู่แล้ว เลยถือโอกาสพักที่เมืองหลวงแห่งนี้หนึ่งคืน กิตติศัพท์ที่ได้ยินมาไม่สู้ดีนัก ว่ากันว่าขโมยขโจรชุกชุมถึงขนาดเอาปืนจ่อปล้นกันเป็นว่าเล่น ประกอบกับมีเวลาจำกัด เราเลยเลือกที่จะพักผ่อนอยู่แต่ในโรงแรม
Upon arrival at the airport, we were greeted by the lovely driver of The Residence Boutique who took us on my first ever Rolls Royce ride along the busy motorways to the area of Houghton Estate, where the hotel is located.
The area is certainly residential and wealthy, with many high end villas and tree-lined avenues scattered around. The lack of any entertainment, shops or restaurant around, would normally be a negative point, but that is certainly not the case when staying at The Residence Boutique.
พอมาถึงสนามบินมีพนักงานขับรถของโรงแรมมาคอยต้อนรับ บอกไว้ก่อนว่ารถที่มารับนี่ไม่ใช่แค่รถลิมูซีนธรรมดาไก่กานะคะ แต่มันคือรถ Rolls Royce สีดำสุดคลาสสิค เกิดมาชาตินี้ก็เพิ่งเคยได้นั่งเป็นครั้งแรก เบาะหนังนุ่มนิ่มนั่งสบาย แถมมีพื้นที่กว้างให้ยืดแข้งยืดขาม้วนหน้าม้วนหลัง เปลี่ยนอิริยาบถได้หลายกระบวนท่า พะยี่ห้อโรลส์รอยส์มันดีอย่างนี้นี่เอง!
คนขับรถผิวสีชาวซิมบับเวขับพาเราขึ้นมอเตอร์เวย์ มุ่งตรงไปยังย่าน Houghton Estate ช่วงบ่ายวันนั้นการจราจรไม่คล่องตัวนัก ตลอดเส้นทางมีรถเยอะ ดูวุ่นวายตามประสาเมืองใหญ่ จนเข้ามาถึงบริเวณย่าน Houghton ทุกอย่างจึงกลับเข้าสู่ความสงบ ถนนสายเล็กมีบ้านหลังใหญ่และต้นไม้สูงเรียงสวยไปตลอดแนวถนน นอกจากบ้านของเหล่ามหาเศรษฐีแล้ว สถานทูตของประเทศต่างๆก็ตั้งอยู่ในบริเวณนี้
Once I crossed the tall entrance gates I realized we just entered a one-of-a-kind establishment where all my needs would be satisfied during my short stay.
The short introduction given by the manager who welcomed us gave me an idea of the concept of this luxurious boutique hotel, created by joining two adjacent mansions (one of those was the former Chinese embassy or official residence, I believe) to give each guest an incredibly homely feeling.
มาถึงที่หมายโรงแรม The Residence Boutique โดยสวัสดิภาพ พอโรลส์รอยส์จอดเทียบท่าเราก็บรรจงก้าวเท้าออกมาอย่างช้าๆ เหลือบตาเห็นรองเท้ายังเขรอะฝุ่นจากป่าอยู่ แต่ไม่เป็นไร ไอด้อนท์แคร์ the show must go on สะบัดผมเบาๆ เอียงหน้า 15 องศาพร้อมยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก ดึงชายเสื้อจัดให้เข้าที่ ไม่ลืมหันไปกล่าวขอบคุณพนักงานขับรถอย่างมีมารยาท แล้วค่อยๆย่างกรายเข้าประตูโรงแรม ทุกอย่างดูเป็นภาพสโลโมชั่น โมเม้นท์นั้นรู้สึกสวยที่สุดในชีวิต ราวกับสิงสถิตอยู่ในร่างขององค์หญิงเคท มิดเดิลตัน!
มาแอ๊บแตกเอาตอนที่เห็นห้องล๊อบบี้ด้านในโรงแรม เธอเอ้ยยย เลิศหรูดูชิค งานดีงานละเอียดทุกมุม ถูกใจเจ๊มากๆ นี่เผลอวิ่งทั่วถ่ายรูปรัว ผู้จัดการถึงกับงงว่าองค์หญิงคนเมื่อครู่นี้หายไปไหน?! โรงแรมบูทีคแห่งนี้เชื่อมเอาแมนชั่นสองหลังเข้าด้วยกัน หลังหนึ่งเป็นบ้านท่านทูตจีนเก่า บรรยากาศจึงอบอุ่นเสมือนเป็นบ้าน (ในวงเล็บบ้าน ม-หา-เศรษ-ฐี จ๊ะ)
Our room on the second floor was very cosy and a little bit British in style, with a small balcony overlooking the swimming pool and tennis court, just perfect for our one night stay. The bathtub on the balcony was very private, but as the sun was going down the temperature was too chilly for it so I went to the rooftop instead to catch on camera my last African sunset.
It was quickly time for dinner so we went downstairs where the restaurant is located to find a beautifully decorated room with super attentive staff and also a fireplace to add some warmth to the ambient.
ห้องเราอยู่ที่ชั้นสอง เป็นห้องขนาดกะทัดรัด ตกแต่งเรียบง่ายมีกลิ่นอายของผู้ดีอังกฤษ พร้อมระเบียงเล็กที่ด้านหนึ่งมีอ่างอาบน้ำวางอยู่ อยากจะลงไปนอนแช่ตีโฟมอยู่เหมือนกันค่ะ ติดที่อากาศไม่เป็นใจ ช่วงนั้นเป็นฤดูใบไม้ร่วงอากาศยังหนาวอยู่ เราจึงเลือกนั่งดื่มกันที่ระเบียง ชมวิวสระว่ายน้ำและสนามเทนนิสแทน จากนั้นก็แวะไปรับบริการนวดเท้าฟรีที่ห้องสปา (therapist สาวฝีมือสุดยอดค่ะ) แล้วขึ้นไปชมอาทิตย์อัสดงสุดท้ายของแอฟริกาที่ดาดฟ้าเป็นการสั่งลา ก่อนจะตรงดิ่งไปที่ห้องอาหารด้วยความหิวโหย หิวสะสมมาค่ะ ตอนอยู่ในป่าเห็นสัตว์ถูกล่าถูกกินทุกวัน ด้วยความปลงปนเวทนาต่อมความอยากอาหารเลยทำงานน้อยลง
ทางเดินไปห้องอาหารซอกแซกนิดหน่อย พอให้ตื่นเต้นเป็นพิธี เป็นห้องอาหารแบบ formal ที่มีเดรสโค้ด smart casual ความหะรูหะราไม่ต้องพูดถึง โคมไฟระย้าคริสตัลเอย เตาผิงไฟเอย บริกรก็เนี้ยบทั้งชุดทั้งการให้บริการ
The food served was delicious and the Vergelegen Cabernet Sauvignon wine was possibly the best we had in the whole South African trip. I felt so comfortable and relaxed that I could have spent the whole night sipping wine by the fireplace while chatting to my husband about the great experiences we just had.
อาหารโดยรวมรสชาติดีค่ะ แอบงงที่มีเมนูอาหารไทยอยู่ 2-3 อย่างด้วย อย่างนี้ต้องลองสิจ๊ะ ว่าแล้วก็สั่งแกงเขียวหวานไก่มาลองทาน ทำออกมาเป็นแบบฟิวชั่นหน่อยๆ ไม่ค่อยโอเท่าไหร่ (แหะๆ) ที่คุณสาประทับใจมากจนต้องไปตามหาซื้อที่สนามบิน คือไวน์แดงพื้นเมือง Cabernet Sauvignon ปี 2008 ยี่ห้อ Vergelegen คู่ฮันนีมูนนั่งจิบไวน์ข้างเตาผิง เม้าท์มอยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสองอาทิตย์ก่อนในเมืองต่างๆของแอฟริกา ได้ร่วมบันทึกความทรงจำครั้งสำคัญด้วยกันอีกครั้ง ก่อนที่จะได้บินกลับบ้านพร้อมกัน หวนนึกถึง 3 ปีกว่าที่คบกันแบบ long distance หลายครั้งที่เที่ยวจบแล้วต่างคนต่างบินกลับประเทศตัวเอง เวลาบินกลับคนเดียวมันห่อเหี่ยวใจยังไงบอกไม่ถูก จากนี้ไปเราจะได้บินไปและบินกลับพร้อมกันในทุกๆที่ซะทีนะ
After a great night sleep we still had a few hour before heading back to the airport to catch our flight, so I went upstairs to the top floor where the rooftop terrace had been turned into an amazing spa overlooking the gardens.
The lady took very good care of me, I enjoyed both a massage in the private room and a manicure in the main area, where the only other guest was my husband reading his magazine and making sure I would keep an eye on the time not to miss the flight.
คืนนั้นมีเทียนหอมและกลีบกุหลาบโรยเตรียมรอไว้ที่อ่างอาบน้ำ เป็นเซอร์ไพร์สน่ารักๆจากทางโรงแรม เพิ่งรู้สึกโรแมนติกอินไปกับทริปฮันนีมูนกะเค้าก็ตอนนี้ (ที่ผ่านมามีความสะบักสะบอมเล็กน้อย)
อาหารเช้าเสิร์ฟที่ห้องอาหารเดิมค่ะ เป็นชุดใหญ่จัดเต็มสไตล์ English breakfast ยังเหลือเวลาอีกเป็นชั่วโมงก่อนไปสนามบิน ภรรยาป้ายแดงเลยถือโอกาสประโคมทำสวยทิ้งทวน จัดทั้ง massage และทำเล็บชุดใหญ่ ความเก๋อยู่ตรงที่ได้นั่งทำที่สปาบนชั้นดาดฟ้า!! บรรยากาศรีแลกซ์เป็นส่วนตัวท่ามกลางวิวสวนสวย นอกจากพนักงานสาวก็มีคุณสานี่แหละ ที่มานั่งจิบกาแฟ อ่านหนังสือรออยู่ที่โซฟาข้างๆ (ที่จริงนางมาเร่งค่ะ กลัวตกเครื่อง 555)
What was planned as a quick night stop before our flight to Europe, turned into one of the most relaxing and enjoyable hotel experiences I ever had. After three days of driving on dusty roads during our safari, I felt like a real honeymooner getting pampered in this exclusive environment, and I realized it was exactly what I needed. I’ll make sure my husband knows my needs and he’ll plan a pampering stop in each holiday we do.
คืนสุดท้ายที่กะจะแค่รอต่อไฟล์ทกลับบ้าน กลายเป็นค่ำคืนที่แสนจะโรแมนติกและผ่อนคลายใกล้เคียงกับคำว่า “honeymoon” ที่สุด เสพย์ติดการปรนเปรอแบบนี้ไปเรียบร้อยแล้วค่ะ ที่ลำบากคงเป็นคุณสามีที่ต้องรักษาสแตนดาร์ด ของแบบนี้ขึ้นแล้วไม่ได้ลงกันง่ายๆนะจ๊ะ บอกไว้ก่อน โฮะ โฮะ โฮะ