It was certainly a big emotion to fly for the first time to Latin America, a continent I always imagined as fun and colourful.
For my first visit, I couldn’t pick up any other city than Rio de Janeiro, with its landmarks and natural beauty. This city is like no other in the world, one moment you feel like in the middle of a metropolis, few minutes later you could be sunbathing on the beach, walking through a forest or hiking up the hill.
อเมริกาใต้เป็นอีกทวีปที่เราอยากไปเยือนให้เห็นกับตา เท่าที่ได้ฟังมาทุกคนที่เคยไปต่างก็ดูหลงใหลได้ปลื้มกันเอามากๆ แต่ทวีปขนาดใหญ่ที่มีสถานที่น่าสนใจอัดแน่นขนาดนี้ การเลือกจุดเริ่มต้นมันไม่ง่ายเลยสักนิด จนมานึกได้ว่าปีนี้เขาจะมีการจัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิคที่เมือง Rio de Janeiro ประเทศบราซิลนี่นา ถ้าเช่นนั้นเราก็ไม่ควรพลาดไปแอบส่องบรรยากาศก่อนโอลิมปิก RIO 2016 เป็นขวัญตา เขาคงกำลังจัดเตรียม พร้อมต้อนรับขับสู้นักท่องเที่ยวที่กำลังจะแห่มาพร้อมกระแสโอลิมปิกแน่นอน
ถึงจะเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น ริโอจัดว่าเป็นเมืองที่มีภูมิประเทศทางธรรมชาติที่สวยงามลงตัว มีครบทั้งป่า เขา ทะเล และทะเลสาป ว่ากันว่าในหนึ่งวันคุณสามารถทำกิจกรรมได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเดินเล่นช้อปปิ้งในเมือง นอนอาบแดดจิบ caipirinha ริมทะเล เล่นวอลเล่ย์บอลชายหาด หรือจะต่อด้วยการไปเดินป่าปีนเขา มีทุกสิ่งให้เลือกสรรแบบนี้นี่เองนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกจึงยกให้เป็นเมืองโปรดหนึ่งในดวงใจ
The world famous statue of Christ the Redeemer on Corcovado mountain is a place no visitor can miss, it offers the best viewpoint to realize how much this city is immersed in nature. The perfect first stop to understand the shape of Rio.
To arrive there, we took the tram that takes you up the hill through the Parque da Tijuca, the largest metropolitan park in the world; and once we had enough of taking pictures shoulder to shoulder with other tourists, we came down again and visited the hipster neighborhood of Santa Teresa.
จุดแลนด์มาร์คยอดฮิต รูปปั้นพระเยซู Christ the Redeemer บนภูเขา Corcovado mountain คือจุดหมายแรก โชคดีที่คนไม่เยอะอย่างที่เคยได้ยินมาว่าต้องยืนต่อคิวกันนานกว่าสองชั่วโมงเพื่อขึ้นรถแทรม วันนั้นไปถึงปุ๊บต่อคิวซื้อตั๋วแล้วก็ได้ขึ้นเที่ยวถัดไปในทันที เจ้ารถแทรมสีแดงจะพาเราวิ่งขึ้นเขาผ่าน Parque da Tijuca สวนสาธารณะในเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เหมือนได้นั่งชมวิวป่าเขาไปตลอดทาง พอลงจากแทรม เดินขึ้นบันไดไปอีกไม่กี่ขั้นก็ได้พบกับรูปปั้นขนาดมหึมาของพระเยซู ใหญ่โตมากจริงๆเมื่อไปยืนเทียบใกล้ๆ นักท่องเที่ยวทุกคนต่างวุ่นอยู่กับการหามุมที่จะกางแขนเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เราพากันเดินผ่านไปชมวิวทะเลและภูเขารอบๆก่อนอย่างใจเย็น (ของแบบนี้มันต้องมีสงวนท่าทีกันบ้าง อิอิ) พอทัวริสต์กรุ๊ปใหญ่สลายตัวก็ถึงทีของเรา มา “ริโอ เดอ จาเนโร” ทั้งที ถ้ากลับไปโดยไม่มีรูปคู่กับรูปปั้นนี้ก็เหมือนมาไม่ถึงถิ่นชาว Carioca เค้าอ่ะเนอะ
(ป.ล. คาริโอก้าคือชื่อเรียกที่หมายถึงชาวเมืองริโอ)
Being my husband’s birthday, he chose a cosy little restaurant for lunch: Tereze at the Santa Teresa Hotel. The food and service were very good, the local lobster possibly the biggest I have ever eaten. Also, the hotel grounds and the peaceful pool were so tempting I have put this place on the list for my next visit to Brazil.
The area is also full of bars and little shops covered by graffitis, very tranquil and an easy walk to the Centro (business district) which despite being rundown and not so safe, offers some interesting sights like Escada Selaron: the fanciest mosaic stairway I’ve ever seen!
Escada Selaron is a masterpiece of Chilean-born artist Jorge Selarón. He covered 250 steps of stairway in front of his house in the color of the Brazilian flag with mosaics made of tiles, pottery, and mirrors from all over the world.
วันนั้นเป็นวันเกิดคุณสามี หลังจากลากเราออกไปวิ่งรอบหาด Ipanema ตอนเจ็ดโมงเช้า (ตื่นกันตั้งแต่ตีห้าเพราะอาการ jet-lag) ต่อด้วยพาไปตบตี เอ้ย เบียดเสียดแย่งซีนกับนักท่องเที่ยวหน้ารูปปั้น จนได้รูปสวยมาเชยชมสมอารมณ์หมายแล้ว นางก็กระเตงเราต่อไปที่เนินเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของย่านสุดฮิปของริโอ นามว่า Santa Teresa นางจองมื้อกลางวันไว้ที่ร้าน Tereze ตั้งอยู่ในโรงแรมบูทีคสุดชิคที่มีชื่อเดียวกับย่านนั้น Santa Teresa Hotel อาหารที่นี่มีหน้าตาสวยงามและรสชาติกลมกล่อม กุ้งล๊อบสเตอร์ของบราซิลคือตัวใหญ่มว้าก น่าจะเป็นตัวที่ใหญ่ที่สุดที่ได้เคยสวาปามมาเลยแหละค่ะ บรรยากาศร้านก็สวยเก๋ บริการก็น่าประทับใจเป็นที่สุด ถือว่าเลือกมาฉลองไม่ผิดที่ค่ะ
ทานข้าวเสร็จเราก็เดินเล่นชมบรรยากาศฮิปๆต่อ ย่านนั้นเต็มไปด้วยร้านรวงและคาเฟ่ขนาดกะทัดรัด กำแพงตึกต่างถูกละเลงด้วยกราฟฟิตี้ เป็นย่านที่มีสีสันสะดุดตาแต่ก็ค่อนข้างเงียบ ผู้คนเดินไม่พลุกพล่านนัก เห็นเขาว่าแถวนี้แอบอันตรายอยู่นะคะ จึงไม่แนะนำให้มาเดินเล่นคนเดียวโดยเฉพาะตอนช่วงฟ้ามืด
เราเดินจาก Santa Teresa ตั้งใจจะทะลุไปที่ Centro ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจของเมืองริโอ ระหว่างทางที่เดินเราต้องผ่าน Escada Selaron บันได 250 ขั้นที่เลิศที่สุดในปฐพี!! มันคือผลงานที่เปรียบเสมือนของขวัญล้ำค่าจากศิลปินชาวชิลี นาย Jorge Selarón มอบให้แด่ชาวบราซิล เขาได้ตกแต่งบันไดหน้าบ้านเขาด้วยลวดลายโมเสคโดยใช้วัสดุจำพวกกระเบื้องสี ดินเผา และกระจก ตั้งใจทำออกมาตามสีธงชาติของบราซิล (โทนเหลือง เขียว น้ำเงิน) เขาเริ่มจากการเก็บพวกเศษกระเบื้องมาจากตึกเก่าที่ถูกทำลาย ซึ่งในภายหลังชาวบ้านต่างก็ช่วยกันนำกระเบื้องชิ้นสวยๆจากทั่วโลกมามอบให้เขา เห็นว่าถูกนำมาจากกว่า 60 ประเทศทั่วโลกเลย ได้เห็นของจริงบอกเลยว่ากรี๊ดมากๆค่ะ เดินลงบันไดไปยิ้มเริงร่าไป นี่ไม่เพี้ยนก็บ้านะเรา 555
Our choice of neighborhood for our stay was Ipanema, possibly the best area of Rio, squeezed between the beach and the lagoon , it is the natural choice if you want to shop, drink and enjoy the best venues of this city.
Due to the jet-lag, we used to wake up pretty early every morning, so we took this opportunity to go jogging along Ipanema beach just as the sun was rising over the horizon. It was the perfect way to start the day, the ocean breeze making us feel awake, and also good to stimulate some good appetite for the day.
เราปักหลักกันอยู่ที่บริเวณ Ipanema ที่นอกจากจะมีชายหาดสวยเลื่องชื่อแล้ว (มีหาดเฉพาะสำหรับชาวเกย์ด้วยค่ะ) ใกล้ๆกันยังมีลากูนหรือทะเลสาปน้ำเค็มขนาดใหญ่ บรรยากาศบริเวณนี้จึงร่มรื่น เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีอันจะกิน เต็มไปด้วยร้านค้าน่าช้อปและร้านอาหารหน้าตาเก๋กู๊ดมากมาย
บรรยากาศการนอนชิลล์ริมหาด Ipanema นับว่าได้อรรถรสมาก เรานอนอ่านหนังสือพลางจิบน้ำมะพร้าวสดกันอยู่บนเตียงผ้าใบ แต่ชิลล์อยู่ได้ไม่นาน ความสงบก็ถูกทำลายลงด้วย “แก๊งสามเกลอจอมป่วน” ที่มาสร้างความครื้นเครงบรรเลงดนตรีอยู่ใกล้ๆ ความที่รู้ทันว่าพวกเขาจะมาขอเงินจากนักท่องเที่ยวนั่นแหละ เลยนอนเก๊กหน้านิ่งทำเป็นไม่สนใจกันทั้งคู่ เรามาเก๊กแตกเอาตอนที่หนึ่งในนั้นเอานิ้วมาจั๊กกะจี้ที่ฝ่าเท้าคุณสามีพร้อมทำเสียงกวนและหัวเราะร่า “อ่ะจิ๊ จิ๊ จิ๊ อ่ะจิ๊ จิ๊ จิ๊ จิ๊ นี่แหน่ะๆๆ ขำม๊ายย” (อันหลังเติมเอง 555) ลูกคู่สองคนก็ช่วยกันบิ้วเล่นดนตรีต่อพร้อมหัวเราะกันคิกคัก คือแบบทนไม่ไหวล้าวว ขนาดเตียงข้างๆยังหันมาหัวเราะก๊าก เลยหยิบมือถือลุกขึ้นมาแชะภาพคุณสามีโดนรุม พวกแก๊งจอมป่วนเห็นเราตกหลุมพราง รีบย้ายมาข้างเราแล้วบอกถ่ายรูปกันนะตัวเทอว์ เอ้า ชีสสสส! แล้วดูหน้าแต่ละคนในรูป เห้อ สุดท้ายต้องควักตังค์ให้จนได้ ตื๊อชะมัดยาด 555
ขำได้ไม่นานก็แอบมีเรื่องเศร้าตามมา เมื่อลูกค้าหนุ่มกับคุณป้าที่นวดที่ชายหาดเตียงถัดไปหารองเท้ากันไม่เจอ โดนสอยไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนริโอน่ะสิคะคุณผู้ชม ป้าแกมานวดลูกค้าที่หาดทุกวัน แกบอกว่านี่คู่ที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ขนาดว่าระวังๆแล้วยังโดนอีกจนได้ ว่าแล้วแกก็สบถเสียยกใหญ่ เก็บของเสร็จก็หิ้วกระเป๋าเดินกระฟัดกระเฟียดจากไปแบบเท้าเปล่าๆนั่นเลย! นี่แหละค่ะฤทธิ์เดชของริโอ สนุกได้แต่ห้ามเผลอเชียวล่ะค่าาา
Our room was on the 17th floor of the hotel Caesar Park Ipanema managed by Sofitel, a big glass window offered great views of Ipanema beach from the morning calm to the buzzing afternoons. Gym and pool are on the rooftop alongside the cosy bar: the ambience at sunset time was splendid. From the rooftop we could clearly see the nearby favela Vidigal; located on the mountain overlooking Ipanema beach, this slum is world famous thanks to its location and views.
เราได้ห้องพักชั้นบนๆของโรงแรม Caesar Park Ipanema managed by Sofitel จึงเห็นวิวชายหาด Ipanema จากกระจกหน้าต่างบานใหญ่ที่ห้องได้อย่างชัดเจน เรียกได้ว่าเช้าก็นั่งดูเย็นก็นั่งดู เพราะในแต่ละช่วงเวลาของวันให้อารมณ์ต่างกันออกไป สระว่ายน้ำและห้องออกกำลังกายอยู่บนดาดฟ้าของโรงแรม และมีบาร์เก๋อยู่ข้างสระซึ่งเป็นที่ที่ลูกค้าชอบขึ้นมานั่งดื่มชมบรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ตก จากดาดฟ้าเราจะเห็นชุมชนสลัมชื่อดัง Vidigal ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาใกล้ๆหาดได้ชัดเจนด้วยค่ะ
ที่ริโอมีทัวร์พานักท่องเที่ยวไปชมสลัมด้วยนะคะ แต่เราขอบอกผ่านเพราะคิดว่าถ้าเราอาศัยอยู่ในชุมชนนั้นคงไม่ปลื้มนักกับการที่มีทัวร์มาลงเพื่อดูชีวิตของเด็กสลัมอย่างเรา (ใจเขาใจเราอ่ะเนอะ) และจากการที่พูดคุยกับคนท้องถิ่นหลายๆคน อย่างพี่คนขับแท๊กซี่หรือพนักงานโรงแรม ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอย่าไปเลย จะเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายทำไม เขาว่าช่วงนี้เศรษฐกิจกลับมาแย่อีกครั้งฉะนั้นอะไรๆก็เกิดขึ้นได้ ใจจริงอยากให้ทุกคนเลี่ยงสถานที่แบบนี้นะคะ แต่รับรองได้ว่ามีนักท่องเที่ยวไม่น้อยที่อยากไปเดินเล่นชมสลัมขำๆ เราคงได้แต่ภาวนาขอให้ช่วงโอลิมปิกอย่าได้มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวเลย พลีสสสส!