I had never heard about this place before and I had no idea where it was on the map, but perhaps it was love at first sight!
Few years ago, I saw the picture of Manarola in one travel website. A cluster of tall brightly coloured buildings on the steep terraced cliff facing the sea was the most awe-inspiring picture I’ve ever seen, I couldn’t stop looking at this little piece of heaven again and again, making sure someone with great photoshop skills didn’t make it up.
หลายปีก่อนระหว่างที่กำลังนั่งเล่นมือถือท่องโลกไซเบอร์เพลินๆ พลันสายตาไปสะดุดอยู่ที่รูปของเมืองเมืองหนึ่ง ซึ่งเว็ปไซต์ท่องเที่ยวชื่อดังใช้ขึ้นเป็นรูป featured image สำหรับบทความเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในยุโรปที่คุณจะต้องไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง ต้องบอกเลยว่าไม่เชื่อสายตาจริงๆว่ารูปที่เห็นถ่ายจากสถานที่จริง ไม่ใช่งานโฟโต้ช็อป หรือภาพวาดของศิลปินคนไหน แค่เพียงเห็นรูปภาพก็ตกหลุมรักเมืองนี้เข้าอย่างจังซะแล้วเรา…
เมืองที่เป็นรักแรกพบของเรามีชื่อหวานๆว่า Manarola (มานาโรล่า) เป็นหนึ่งในห้าหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Cinque Terre (ชิงเคว แตร์เร่) ที่มีความหมายว่า “แผ่นดินทั้งห้า” ความสวยแปลกตาของหมู่บ้านทั้งห้า อันได้แก่ Monterosso, Vernezza, Corniglia, Manarola และ Riomaggiore อยู่ที่ชาวเมืองซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำประมง ได้สร้างบ้านกันอยู่บนหน้าผาสูงริมทะเลและแต่ละหลังถูกเพ้นท์ด้วยสีสดโทนสว่างทั้งนั้น นับเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แค่ไปสร้างหมู่บ้านอยู่บนริมผานั่นก็ว่ายากแล้ว ยังอุตส่าห์มีไอเดียครีเอทีฟเรื่องการใช้สีทาตกแต่งเข้าไปอีก (ชาวประมงนี่เค้าก็อาร์ตใช่เล่น) เขาเล่าต่อๆกันมาว่าที่ทุกคนต่างเลือกใช้สีสดทาบ้านนั้น เพื่อทำให้มองเห็นบ้านตัวเองได้ชัดแต่ไกลยามที่กลับเข้าฝั่งจากการออกไปจับปลา เป็นการเช็คอีกทางว่าเหล่าสมาคมเมียจ๋าอยู่เฝ้าบ้านกันรึเปล่า หืมมม!? ก็ไม่รู้ว่านี่คือเหตุผลที่แท้จริงหรือไม่ แต่ก็ถือเป็นกุศโลบายที่ win-win ได้ผลประโยชน์กันทุกฝ่ายเลยทีเดียว สามีก็ออกไปทำงานได้อย่างสบายใจ เมียก็ไม่เถลไถล แถมหมู่บ้านก็สวยแจ่มจนได้รับการบันทึกให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโก้อีกด้วย
After some research (by asking my hubby lol), I got a better idea about this place. Manarola is one of the five small villages of Cinque Terre, which means the five lands: Monterosso, Vernezza, Corniglia, Manarola and Riomaggiore, situated on the Italian Riviera rocky coastline. The Cinque Terre is a National Park and territory protected by UNESCO.
จากข้อมูลที่ค้นคว้าได้มา (โดยการซักถามคุณสามี 555) ทำให้เรายิ่งปลื้มในเมืองนี้ และไม่รีรอที่จะกดดัน เอ้ย อ้อนวอนขอให้คุณสามีพาไปเยือนแบบไปรษณีย์ด่วนพิเศษ! เนื่องจากเส้นทางการเดินทางเข้าไป Cinque Terre นั้นไม่สะดวกนัก เป็นทางแคบบนหน้าผา รถไฟกับเรือเห็นจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะกว่า เจ้าหน้าที่จึงปิดเส้นทางสำหรับรถวิ่งโดยถาวร จะว่าไปรถไฟสายนี้สะดวกมากค่ะ มีตั๋วแบบ Day pass ขายด้วย สามารถแวะได้ทั้งห้าหมู่บ้านเลยถ้าใครมีเวลา ส่วนเราจอดรถทิ้งไว้ที่สถานี La Spezia และขึ้นรถไฟตรงดิ่งไปสถานี Manarola เลย คือบังเอิญว่าเป็นคนรักเดียวใจเดียวอ่ะค่า ;))
แอบผิดคาด! คิดว่านักท่องเที่ยวจะพลุกพล่านมากกว่านี้ แต่แบบนี้ก็ดีแล้วค่ะ กำลังเดินสบายๆไม่อึดอัด เห็นเขาว่าหมู่บ้านนี้เงียบสงบที่สุดถ้าเทียบกับอีกสี่ที่ (มาถูกทางละเรา) ออกจากสถานีรถไฟเราก็ซอยเท้ามุ่งหน้าไปที่ท่าเรือริมทะเลทันที เลือกนั่งที่ร้านอาหารวิวดี จิบไวน์พื้นเมือง กินอาหารซีฟู้ดเติมพลังซักหน่อยก่อนจะไปต่อ จากโต๊ะอาหารมองไปเห็นทะเลและโขดหินสูงอันหนึ่งโผล่ขึ้นจากพื้นน้ำ บนนั้นมีคนมาต่อรอคิวเพื่อจะกระโดดลังกาหน้า-หลังลงน้ำกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็ว่ายน้ำในทะเลกันสบายใจเฉิบ เขาว่าน้ำลึกพอควรค่ะ ถ้าไม่แน่ใจในฝีมือการดำผุดดำว่ายของตัวเองก็อย่าเสี่ยงจะดีกว่า
As cars are prohibited, the best way to explore Cinque Terre is by train, so we parked the car at La Spezia station and hopped on the train. I was so excited every minute I spent in this town. We had a great seafood lunch and a nice walk exploring the village, there were not as many tourists as I thought. In front of the harbour, there were people queueing to jump off the cliff and into the sea, only for the good swimmers and the extreme adventurers. I acted like most of the tourists, trying to get the best shot with that background, which is the real reason we all came there.
ทานอาหารกลางวันเสร็จก็ได้เวลาเดินชมเมือง ไต่ขึ้นหน้าผา เข้าซอกซอยลัดเลาะ จนไปถึงลานหนึ่งที่ชาวเมืองตั้งไม้กางเขนเอาไว้ จากจุดนั้นเห็นวิวทะเลสุดลูกหูลูกตา สวยมากๆเลยค่ะ จากที่เดินๆดูหมู่บ้านนี้เงียบสงบจริงๆ ชาวบ้านมีวิถีชีวิตเรียบง่าย ไม่มีร้านค้าหรู ผิดกับเมืองปอร์โตฟีโน่ที่อยู่ไม่ไกลกัน อาชีพอีกอย่างของชาวเมืองคือปลูกองุ่นทำไวน์ ไวน์ขาวที่นี่ขึ้นชื่อค่ะ นึกแอบอิจฉาชาวบ้านที่นี่อยู่ในใจ หมู่บ้านสวยขนาดนี้ วิวทะเลก็สวย ไม่มีมลพิษ ไม่มีรถวิ่งให้ปวดหัว อาหารทะเลก็จับกันเองสดๆ ยังมีไวน์อร่อยที่ปลูกเองทำเองได้ด้วย สวรรค์ของการใช้ชีวิตแท้ๆเลย โชคดีจริงนะยูว์
ปิดท้ายก็ต้องไปแชะภาพกับฉากสวยที่เราเฝ้าเพ้อละเมอหา ได้รูปสวยคุ้มค่ามาเชยชมสมกับที่ตั้งใจมา สบายใจละ! กลับไปเสิร์ชหาที่ใหม่ๆเที่ยวต่อดีกว่า ;))
Beautiful!
LikeLiked by 1 person
Heaven on earth! ❤️
LikeLike